อินเทลเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ ซีพียู คอร์ x86 สองรุ่น, ระบบ SoCs สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์สองรุ่น, GPU แบบแยกส่วนได้ และสถาปัตยกรรมไฮบริดแบบมัลติคอร์ที่ปฏิวัติวงการสำหรับกลุ่มลูกค้า
อินเทลเปิดตัวแพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ที่ปรับแต่งมาอย่างเหมาะสมเพื่อมอบพลังรองรับเวิร์กโหลดที่หลากหลายในวงการอุตสาหกรรม ตั้งแต่ระบบคลาวด์ ระบบเครือข่าย ไปจนถึง Edge อัจฉริยะ โดยโปรเซสเซอร์ Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 (ภายใต้ชื่อรหัส “Ice Lake”) เป็นรากฐานของแพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลของอินเทล ที่จะดึงขุมพลังจาก AI เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างประโยชน์จากโอกาสทางธุรกิจต่างๆ ที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน
โปรเซสเซอร์ Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 ส่งมอบประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยได้ปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 46% สำหรับเวิร์กโหลดต่างๆ ที่นิยมใช้งานในศูนย์ข้อมูล[i] นอกจากนี้ ตัวโปรเซสเซอร์ยังเพิ่มความสามารถของแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่ดีขึ้น รวมถึง Intel SGX เพื่อการรักษาความปลอดภัยในตัว, และการเร่งความเร็ว AI ด้วย Intel Crypto Acceleration และ Intel DL Boost ซึ่งความสามารถใหม่ๆ เหล่านี้ เมื่อรวมกับ Intel® Select Solutions และ Intel® Market Ready Solutions แล้ว จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเร่งการปรับใช้งานบนระบบคลาวด์, AI, องค์กรธุรกิจ, การประมวลผลประสิทธิภาพสูง, ระบบเครือข่าย, ความปลอดภัย และแอปพลิเคชัน Edge ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
นายนาวิน เชนอย รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปของ Data Platforms Group ของอินเทล กล่าวว่า “แพลตฟอร์ม Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 ของเรา เป็นแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสูงสุดในประวัติศาสตร์ของอินเทล ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่อจัดการกับเวิร์กโหลดที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบคลาวด์ ระบบเครือข่าย ไปจนถึง Edge เพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราก้าวนำการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมระดับโลกที่กำลังเร่งอัตราเร็วยิ่งขึ้น และสามารถทำงานเพื่อเสริมสร้างชีวิตผู้คนบนโลกใบนี้ได้เคียงข้างกันไปกับอินเทล โดยอินเทลอยู่ในจุดที่ไม่เหมือนใคร ด้วยสถาปัตยกรรม การออกแบบ และการผลิตเพื่อส่งมอบซิลิคอนอัจฉริยะและโซลูชันอันหลากหลายตรงตามความต้องการของลูกค้าของเรา”
โปรเซสเซอร์ Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3
ด้วยการใช้เทคโนโลยีขนาด 10 นาโนเมตร (nanometer: nm) ของโปรเซสเซอร์ Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 ใหม่ล่าสุด ที่มอบจำนวนคอร์สูงสุด 40 คอร์ต่อโปรเซสเซอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยเฉลี่ยสูงสุดถึง 2.65 เท่า เมื่อเทียบกับระบบเก่าที่มีอายุ 5 ปี[ii] แพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถรองรับหน่วยความจำระบบได้สูงสุดถึง 6 เทราไบต์ต่อซ็อกเก็ต, หน่วยความจำ DDR4-3200 สูงสุด 8 แชนเนลต่อ
ซ็อกเก็ต, และ PCIe Gen4 สูงสุด 64 เลนต่อซ็อกเก็ต
นอกจากนี้ โปรเซสเซอร์ Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 ได้ปรับแต่งอย่างเหมาะสมเพื่อรองรับการรันเวิร์กโหลดสมัยใหม่ทั้งในสภาพแวดล้อมแบบในสถานที่ (On-premise) และบนมัลติคลาวด์แบบกระจายตัว โดยตัวโปรเซสเซอร์ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานผ่านสถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่น รวมถึงความสามารถด้านความปลอดภัยขั้นสูงในตัว โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมต่างๆ ที่มีมายาวนานหลายทศวรรษ
นอกจากนี้ เพื่อเร่งเวิร์กโหลดบนแพลตฟอร์ม Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถปรับแต่งแอปพลิเคชันของตนได้ด้วยเครื่องมือเขียนโปรแกรมข้ามสถาปัตยกรรมแบบเปิด oneAPI ซึ่งมอบอิสระจากข้อจำกัดทางเทคนิคและต้นทุนของโมเดลที่มีกรรมสิทธิ์ต่างๆ ทั้งนี้ ชุดเครื่องมือ Intel® oneAPI ช่วยให้สามารถนำประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์, AI, และการเข้ารหัส ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ผ่านเครื่องมือขั้นสูงทั้งคอมไพเลอร์, ไลบรารี, และเครื่องมือการวิเคราะห์และดีบัก
โปรเซสเซอร์ Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 รองรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Intel® IoT Market Ready Solutions ที่พร้อมใช้งานทันทีมากกว่า 500 รายการ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Intel Select Solutions ที่ช่วยเร่งการปรับใช้งานตามความต้องการของลูกค้า โดยในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Intel Select Solutions ของเราจะทยอยปรับปรุงใหม่มากถึง 80% ภายในสิ้นปีนี้
แพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลชั้นนำของอุตสาหกรรม
แพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลของอินเทล ถือเป็นแพลตฟอร์มที่แพร่หลายมากที่สุดในตลาด พร้อมความสามารถที่เหนือกว่าใครในการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูล แพลตฟอร์ม Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 ใหม่ล่าสุด ประกอบด้วยหน่วยความจำ Intel Optane 200 series, Intel Optane Solid State Drive (SSD) P5800X, และ Intel® SSD D5-P5316 NAND SSD รวมถึงอะแดปเตอร์เครือข่าย Intel Ethernet 800 series และอุปกรณ์ Intel® Agilex FPGA รุ่นล่าสุด
แพลตฟอร์ม Intel Xeon Scalable เจนเนอเรชั่น 3 ล่าสุด ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับกลุ่มตลาดที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบคลาวด์ ไปจนถึง Edge อัจฉริยะ
รายงานดัชนีชี้วัดการปฏิรูปสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ Dell Technologies Digital Transformation Index (the DT Index) จัดทำโดยเดลล์เทคโนโลยีส์ ร่วมกับอินเทล สำรวจความก้าวหน้าในการปรับตัวสู่ดิจิทัลขององค์กรธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ทั่วโลกกว่า 4,000 แห่ง โดยมอบหมายให้ Vanson Bourne บริษัทวิจัยอิสระสำรวจผู้นำธุรกิจ 100 รายในประเทศไทยเพื่อประเมินกลยุทธ์ด้านไอที ความริเริ่มในการปฏิรูปของคนทำงาน และความสามารถที่รับรู้ได้โดยเทียบจากคุณลักษณะสำคัญที่ธุรกิจดิจิทัลต้องมี พร้อมประเมินความคาดหวังและมุมมองของผู้บริหารในเรื่องดิจิทัล
โดยปีนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เดลล์ เทคโนโลยีส์ และอินเทลทำการสำรวจนี้ โดยได้ขยายกลุ่มขอบเขตงานวิจัยจาก 16 ประเทศเป็น 42 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยที่มีการสำรวจครั้งแรก
โดยผลสำรวจในส่วนของประเทศไทยที่น่าสนใจมีดังนี้
การเปรียบเทียบเพื่อแบ่งกลุ่ม |
รายละเอียด |
การวิเคราะห์ ระดับประเทศในปี 2018 (ประเทศไทย) |
ผู้นำด้านดิจิทัล (Digital Leaders) |
มีการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ในหลากหลายรูปแบบ และถูกปลูกฝังอยู่ในดีเอ็นเอของธุรกิจ |
7% |
ผู้ที่เริ่มก้าวสู่ดิจิทัล (Digital Adopters) |
มีแผนงานด้านดิจิทัลที่เป็นจริงเป็นจัง มีการลงทุนและมีนวัตกรรมในองค์กร |
40% |
ผู้ที่กำลังประเมินดิจิทัล (Digital Evaluators) |
ตอบรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัลอย่างระมัดระวัง ค่อยเป็นค่อยไป มีการวางแผนและลงทุนสำหรับอนาคต
|
25% |
ผู้ตามในเรื่องดิจิทัล (Digital Followers)
|
ลงทุนด้านดิจิทัลน้อยมาก เพิ่งเริ่มต้นวางแผนคร่าวๆ สำหรับอนาคต |
23% |
ผู้ที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังดิจิทัล (Digital Laggards) |
ไม่มีแผนงานด้านดิจิทัล มีการลงทุนและความริเริ่มที่จำกัดในองค์กร |
5% |
นพดล ปัญญาธิปัตย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ อีเอ็มซี ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ตามดัชนี DT Index พบว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในไทย อยู่ในกลุ่มของผู้ที่เริ่มก้าวสู่ดิจิทัล (Digital Adopters) โดยบริษัทเหล่านี้ มีแผนงานและนวัตกรรมที่ล้ำหน้าในองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนไปสู่การปฏิรูปองค์กร (transformation) อย่างไรก็ตาม ผลการรายงานยังเผยให้เห็นว่า เกือบ 1 ใน 4 ของบริษัทยังอยู่ใน 2 กลุ่มหลัง ซึ่งหมายความว่าบริษัทเหล่านี้ กำลังก้าวไปอย่างช้าๆ หรือไม่ก็ยังไม่มีแผนงานด้านดิจิทัลเลย
อุปสรรคที่กีดขวางการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
การก้าวข้ามอุปสรรค
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าองค์กรธุรกิจกำลังเดินหน้าเพื่อที่จะก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ที่มาพร้อมกับการคุกคามในการที่จะถูกเอาชนะจากผู้เล่นที่ไวกว่าและมีนวัตกรรมเหนือกว่า โดยเห็นได้จากประเด็นต่อไปนี้
ในส่วนของแผนการลงทุนที่วางไว้ภายใน 1 ถึง 3 ปีข้างหน้า
นพดลมองว่า องค์กรที่วางเทคโนโลยีเป็นศูนย์กลาง จะได้รับประโยชน์จากโมเดลธุรกิจดิจิทัล รวมถึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจัดการทุกสิ่งได้ในแบบอัตโนมัติและทำให้ลูกค้าพึงพอใจ นี่คือสาเหตุที่การปฏิรูปสู่ดิจิทัล เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
เมื่อถามว่าเดลล์มีวิธีให้คำแนะนำกับผู้ที่กำลังมองหาเทคโนโลยีและสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลในองค์กรเขาตอบว่า จะใช้วิธีแนะนำให้ดูตัวอย่างจากองค์กรที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองรองรับโลกดิจิทัลได้ ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาหนทางเปลี่ยนแปลงองค์กรของตนให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลในปัจจุบัน