สกิลแมน, นิว เจอร์ซี่ -- บริษัท เคนวิว อิงค์ (NYSE: KVUE) (Kenvue) ซึ่งเป็นบริษัทด้านสุขภาพส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เมื่อพิจารณาจากรายได้) เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “KVUE” หลังจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยมี ธิโบต์ มองกอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ และคณะผู้บริหารร่วมทำพิธีเปิดการซื้อขายหุ้นในวันแรก

ธิโบต์ มองกอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคนวิว กล่าวว่า “การช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงพลังวิเศษของการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน คือหัวใจสำคัญที่บ่งบอกถึงตัวตนของเราและสิ่งที่เราทำอยู่ ในฐานะผู้นำระดับโลกทั้งในด้านการดูแลสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค พอร์ตโฟลิโอของผลิตภัณฑ์ซึ่งคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันของเราอันประกอบด้วยแบรนด์ที่ผ่านการรับรองทางวิทยาศาสตร์และมีชื่อเสียงยาวนาน ต่างเป็นที่ไว้วางใจของผู้บริโภคและได้รับการแนะนำให้ใช้โดยบุคลากรด้านสุขภาพมาหลายชั่วอายุคน และวันนี้ เราพร้อมที่จะนำมุมมองใหม่ของการดูแลตัวเองมาสู่ผู้คนทั่วโลก”

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ไม่ใช่การเสนอขายหรือการชักชวนให้ซื้อหลักทรัพย์เหล่านี้ และจะไม่มีการขายหลักทรัพย์เหล่านี้ในรัฐหรือเขตอำนาจใด ๆ ที่การเสนอ การชักชวน หรือการขายดังกล่าว เป็นสิ่งที่ไม่รับอนุญาตตามกฎหมาย

เกี่ยวกับเคนวิว

เคนวิวคือบริษัทด้านสุขภาพสำหรับบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากรายได้ มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าศตวรรษและขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยวิทยาศาสตร์ โดยมีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ได้แก่ AVEENO®, BAND-AID®, JOHNSON’S®, LISTERINE®, NEUTROGENA®, TYLENOL® และ ZYRTEC® ซึ่งบุคลากรด้านสุขภาพต่างแนะนำให้ใช้และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อช่วยให้ชีวิตประจำวันดีขึ้น ทีมบุคลากรของเราล้วนมีทัศนคติที่เปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัล ยึดมั่นนวัตกรรมที่มีพื้นฐานมาจากข้อมูลเชิงลึกของมนุษย์ และมุ่งมั่นในทุกวันที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในใจและมีอยู่ติดบ้านผู้บริโภคทุกคน ที่ Kenvue เราเชื่อว่าการดูแลตัวเองไม่เพียงส่งผลให้ผู้คนมีสุขภาพดี แต่ยังทำให้ทุกชีวิตสมบูรณ์ลงตัว

ข้อควรระวังเกี่ยวกับข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วย “ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า” ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคลปี ค.ศ. 1995 ผู้อ่านควรระวังอย่าพึ่งพาข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ ข้อความเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต หากข้อสมมติฐานพิสูจน์ได้ว่าไม่ถูกต้อง หรือมีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนที่ทราบหรือไม่ทราบเกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากความคาดหวังและการคาดการณ์ของเคนวิว ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะเพียง ความสำเร็จในเงื่อนไขตามปกติของการเสนอขายหุ้นไอพีโอ ความเสี่ยงด้านตลาดทุน และผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมโดยทั่วไป สำหรับรายการและคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเคนวิว โปรดดูเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าใด ๆ ที่ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์นี้กล่าวถึง ณ วันที่ของข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น เคนวิวไม่ดำเนินการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าอันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่หรือเหตุการณ์ หรือการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

Q2/66 หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ NASDAQ เป็นโอกาสของการลงทุน หลังผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด บวกกระแสลงทุนเอไอหนุน อีกทั้งนโยบายของ FED ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายและยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยน้อย ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางในตลาดหุ้นจีน มีความน่าสนใจระยะยาวจากนโยบายกีดกันเทคโนโลยีจีนของสหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นไทยแนะรอจังหวะความชัดเจนทางการเมือง จับตาเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ชี้ชะตาหุ้นไทยเกิดกระแส Election Rally

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดไว้ และประธาน FED ออกมาแถลงการณ์ว่าอาจจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีนี้ แต่ยังคงเป้าหมายการปรับลดอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% โดยผลที่ออกมาถือว่าไม่มีอะไรที่ส่งผลต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี ตลาดได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (Non-Farm Payrolls) ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา และอัตราการว่างงานประจำเดือน ต่างออกมาในมุมที่ดีต่อเศรษฐกิจ โดย Non-Farm Payroll ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ค่อนข้างมาก ที่ระดับ 253,000 ตำแหน่ง จากที่คาดไว้ 180,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานอยู่ที่ 3.4% น้อยกว่าที่ตลาดคาด

ขณะที่ Dollar Index กลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก บ่งบอกว่าตลาดได้มองข้ามตัวเลขดังกล่าวไปพอสมควร และให้ความสำคัญกับการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI Index) ในวันพุธนี้ (10 พ.ค.66) โดยตลาดคาดว่าจะทรงตัวในระดับ 5% จากเดือนก่อน

“หากตัวเลข CPI Index ออกมาต่ำกว่าที่คาดจะส่งผลดีต่อตลาด เพราะจะเป็นการเพิ่มโอกาสที่ FED จะคงดอกเบี้ย หรือ ลดดอกเบี้ย ในปีนี้ แต่ถ้าออกมาเพิ่มขึ้นจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดที่ FED อาจต้องกลับลำมาเพิ่มดอกเบี้ยอีกครั้ง”

ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาด NASDAQ โดยหลังการประกาศงบการเงินไตรมาสแรกของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทั้ง APPLE, MICROSOFT, ALPHABET และ META ต่างมีผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะ APPLE ที่เป็นผู้นำตลาด

สาเหตุหลักนอกเหนือจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ต้นทุนดำเนินการยังลดลงหลังจากบริษัทเทคโนโลยีกลุ่มนี้ต่างปรับลดพนักงานไปรวมกว่าหมื่นตำแหน่งในช่วงปลายปีที่แล้วและต่อเนื่องจนถึงต้นปีนี้ ประกอบกับผลกำไรในปี 2565 เริ่มกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดยุติลง

ที่สำคัญหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่กำลังเร่งลงทุนในโปรดักต์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) โดยเฉพาะ MICROSOFT, ALPHABET และล่าสุด META จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันความน่าสนใจของนักลงทุนได้พอสมควร และกระแสน่าจะอยู่ไปตลอดทั้งปีนี้

นายณพวีร์ กล่าวว่า ด้วยเหตุผลทั้งด้านงบการเงิน บวกกับปัจจัยบวกใหม่ และทิศทางนโยบายของ FED ที่เริ่มผ่อนคลายทางการเงิน ทำให้หุ้นในดัชนี NASDAQ มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่ได้รับผลกระทบจากสถาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในวงจำกัด เนื่องจากมีธุรกิจกระจายทั่วโลก ต่างจากหุ้นแบบดั้งเดิมที่อยู่ใน S&P500 ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจจะถดถอย

“ตั้งแต่ต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 21.2% เป็นดัชนีที่โดดเด่นที่สุดของโลก ขณะที่ดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทน 7.73% และดัชนี Dow Jones สร้างผลตอบแทน 1.59% แสดงให้เห็นว่าตลาดให้ความสำคัญกับหุ้นเทคโนโลยีมากกว่าหุ้นแบบดั้งเดิม ขณะที่กราฟเทคนิคดัชนี NASDAQ แนวโน้มกำลังเป็นขาขึ้น มีแนวต้านที่ 13,700 จุด และแนวรับ 12,800 จุด ถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจในไตรมาสสองและต่อเนื่องถึงไตรมาสสาม”

นอกจากนั้น อีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ คือ หุ้นเทคโนโลยีจีน ในดัชนี STAR 50 Index ซึ่งจะเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากนโยบาย CHIPS for America Act ที่จำกัดการสั่งซื้อเซมิคอนดักเตอร์จากจีน ทำให้มีโอกาสสูงที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนจะสั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัทขนาดกลางในประเทศแทน อีกทั้งรัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนอีกด้วย

ทางด้านกลยุทธ์การลงทุน สามารถมองเป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาวได้ โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุน ETF KraneShares SSE STAR Market 50 Index (ETF KSTR) เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) หรือ ลงทุนผ่านกองทุนรวมของไทยที่มีนโยบายลงทุนในดัชนี STAR50 ของจีน ได้เช่นกัน

สำหรับ ทิศทางตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีประเด็นที่ต้องจับตา คือ เสถียรภาพของว่าที่รัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้ง ถ้าหากไม่มีฝั่งที่ชนะอย่างชัดเจนจนทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตลาดหุ้นอาจจะตอบสนองในเชิงลบ เพราะธรรมชาติของตลาดหุ้นไทยชอบความชัดเจน และต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ

“ถึงแม้ว่าสัปดาห์นี้ SET Index เริ่มต้นได้ดี แต่ยังมีความเสี่ยงมาก การลงทุนแนะนำว่ารอดูความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หลังวันที่ 14 พ.ค.66 โดยมองแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1,500 จุด ถ้าหากหลุดจากระดับนี้ ดัชนีมีโอกาสจะเป็นขาลงในระยะยาว แต่ถ้ามีแนวโน้มสูงที่จะได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ น่าจะได้เห็น Election Rally เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต”

รศ.ดร. เอกจิตต์ จึงเจริญ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการ และ นายบุญชัย สุวรรณวุฒิวัฒน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) หรือ PHOL พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหาร ร่วมถ่ายภาพภายหลังการจัดงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566 ณ สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติทุกวาระตามที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมทั้งอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสดสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท คงเหลือจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท โดยมีกำหนดการจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566

มร.คาซึนาริ โอกาวะ (ที่3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จํากัด ปลื้มกระแสตอบรับจากโครงการ ‘SBITO GAME OF TRADE ร่ายเวทย์ เทรดหุ้นให้เป็นโปร’ หลังจับมือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเหล่าพันธมิตรแบรนด์ ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด และบริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปลุกกระแสการเทรดหุ้นออนไลน์ในไทย ผ่านรูปแบบการแข่งขันสไตล์เกมออนไลน์ e-sport หวังสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนในไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ช่วยให้กลุ่มนักลงทุนมือใหม่ได้เข้าใจขั้นตอนและช่องทางการเทรดหุ้นขั้นพื้นฐานแบบครบครัน โดยการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศได้จัดขึ้นที่ AIS eSports Studio ชั้น 2 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ของการแข่งขันโครงการ ‘SBITO GAME OF TRADE ร่ายเวทย์ เทรดหุ้นให้เป็นโปร’ ในปีนี้ ได้แก่ คุณวัชรพงศ์ แก้วก่อศรี รับเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล ผู้สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sbito.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/Sbithaionline/

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในบริษัทพลังงานเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ที่โดดเด่นในด้านการผลิตไฟฟ้าอุตสาหกรรมและไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 20 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศอีก 35 โครงการ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งที่ 1/2566 คาดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกคงที่ 5.75% - 5.95% ต่อปี (โดยจะประกาศอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนให้ทราบอีกครั้ง) กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใดก็ได้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ โดยไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้งตามดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้แต่เพียงผู้เดียว อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุกๆ 5 ปี อ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ราคาเสนอขายอยู่ที่หน่วยละ 1,000 บาท คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2566 ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.กสิกรไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย และ บล.เกียรตินาคินภัทร

โดย BGRIM ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ “BBB+” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคง ศักยภาพ และความแข็งแกร่งของบริษัทฯ

สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้เป็นเงินลงทุนโครงการ จำนวน 2,000-4,000 ล้านบาท และใช้ชำระคืนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ จำนวน 1,000-2,000 ล้านบาท และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ จำนวน 2,000-3,000 ล้านบาท ภายในปี 2567

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ GreenLeap ที่พลิกโฉมการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก และผู้นำด้านการพัฒนา ด้านพลังงานที่ยั่งยืนและปลอดภัย โดยยังคงยึดมั่นบนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ภายใต้

Page 8 of 9
X

Right Click

No right click