SCB WEALTH หนุนนักลงทุนมองการเติบโตระยะยาว ก้าวข้ามความผันผวนระยะสั้น ชี้ช่องลงทุนอย่างต่อเนื่อง โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีมากกว่าการเข้า-ออกตลาดเป็นประจำ ตลาดหุ้นสหรัฐฯเหมาะสำหรับStay Invest มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง

จากข้อมูลพบว่า ทุกครั้งที่สหรัฐฯ ผ่านวิกฤตไปได้ ตลาดหุ้นจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่เสมอ พร้อมแนะกองทุน SCBGAเหมาะสำหรับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมี SCB Julius Baer จัดน้ำหนักการลงทุน มีการปรับพอร์ตอย่างยืดหยุ่นและเหมาะสม ตอบโจทย์ทุกสภาวะการลงทุน

นายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection and Partnership ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนในช่วงเวลาในแต่ละประเทศ มีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตในระยะยาว จึงเชื่อว่า ตลาดส่วนใหญ่ดูแลตัวเองได้ดีและปรับตัวเป็นบวกได้ ทั้งนี้ จากข้อมูลผลการดำเนินงานช่วง 1 ปี เปรียบเทียบกับ 5 ปี ของดัชนีตลาดหุ้นใหญ่ๆ ในโลก โดยเป็นข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.ค. 2566 พบว่า ผลการดำเนินงานของ S&P500 ในช่วง 1 ปี +14.5% ส่วน 5 ปี +60.8% ด้าน STOXX600 ในช่วง 1 ปี +9.3% และ 5 ปี +19.9% NIKKEI225 ในช่วง 1 ปี +15.7% ส่วน 5 ปี +43.7% ขณะที่ CSI300 ในช่วง 1 ปี -9.8% แต่ช่วง 5 ปี +6.7% SET INDEX ใน 1 ปี -1.5% ส่วน 5 ปี -8.7% US Treasury Index ในช่วง 1 ปี -2.5% ส่วน 5 ปี +2.4% และทองคำ 1 ปี +12.8% ส่วน 5 ปี +59.5%

“การที่ตลาดให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวแม้ว่าในระยะสั้นจะผันผวน ทำให้นักลงทุนที่ Stay Invest หรือยังอยู่ในการลงทุนไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร มักจะสร้างผลตอบแทนในระยะถัดไปได้ดีกว่าเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับนักลงทุนที่ไม่ได้ Stay Invest แต่หนีออกจากตลาดไปก่อนตอนที่ตลาดปรับตัวลดลง แล้วค่อยกลับเข้ามาอีกครั้งในอนาคตในยามที่ตลาดปรับเพิ่มขึ้นไปสูงแล้ว” นายรุ่งโรจน์ กล่าว

สำหรับตลาดที่นักลงทุนมองแล้วจะเห็นภาพของการ Stay Invest ได้ดี คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง การดำเนินนโยบายการเงินต่างๆ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมทั้งนโยบายการคลังของรัฐบาลล้วนส่งผ่านไปถึงตลาดหุ้น โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่า ทุกครั้งที่สหรัฐฯ ผ่านวิกฤตไปได้ ตลาดหุ้นจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่เสมอ การ Stay Invest จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนมองว่าในระยะสั้นหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลง อาจรอจังหวะในการเข้าลงทุนได้แต่ควรจะกำหนดเป้าหมายในการกลับเข้าลงทุนที่เหมาะเฉพาะตนโดยไม่ห่างหายจากการลงทุน

ส่วนคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์การ Stay Invest นั้น เรามองว่า จะต้องมีคุณสมบัติ คือ 1.ปรัชญาการลงทุนที่ชัดเจน เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว หากมีสิ่งรบกวนในระยะสั้นก็อาจจะพิจารณาบ้าง แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญ ยกเว้นเป็นสิ่งรบกวนที่ส่งผลให้ภาพการลงทุนเปลี่ยนแปลง จึงจะปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนอย่างทันท่วงที

2.ผู้จัดการกองทุนน่าเชื่อถือ มีประวัติการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง 3.การปรับพอร์ตอยู่บนปัจจัยพื้นฐานและมุมมอง ไม่นำความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง และ 4.มีระดับความผันผวนที่เหมาะสม ตอบโจทย์นักลงทุนรายย่อย

ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่ตอบโจทย์การ Stay Invest ค่อนข้างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Allocation (SCBGA) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดตั้งกองทุน และเป็นกองทุนผสมที่จ้างบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด จัดน้ำหนักการลงทุนให้ มีการปรับพอร์ตอย่างยืดหยุ่นและเหมาะสมกับสภาวะของตลาด

สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนของ SCBGA จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกลงทุนในกองทุนหลัก (Core Funds) ได้แก่ JB Dynamic Asset Allocation ซึ่งเป็นกองทุนเรือธงของ Julius Baer ที่ลงทุนได้ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก ผ่าน ETF ซึ่งมีสภาพคล่องสูง โดยในปี 2566 Julius Baer มีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้น แต่เลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง ด้วยการลดหุ้นที่ผันผวนต่อวัฎจักรเศรษฐกิจ เพิ่มหุ้นกลุ่มคุณภาพ และถือเงินสดบางส่วนเพื่อรอจังหวะเข้าสะสมหุ้นเพิ่ม ขณะที่ การลงทุนส่วนที่ 2 คือ กองทุนเสริม (Satellite Funds) โดยคัดเลือกกองทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมชั้นนำของโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความสมดุลให้พอร์ต SCBGA

“จากการที่ SCBGA เป็นกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนจัดพอร์ตลงทุนและปรับสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ทำให้เราเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์นี้น่าจะตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการ Stay Invest ได้เป็นอย่างดี” นายรุ่งโรจน์ กล่าว

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd.) เรือธงด้านการเงินการลงทุนของกลุ่ม SCBX ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นำเสนอ “Offshore KIKO” หรือ Knock-In Knock-Out Equity Note หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น (Structured Notes) ประเภทหนึ่งที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) มุ่งเพิ่มโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไปในสภาพตลาดปัจจุบันที่ตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ในช่วงสภาวะตลาด Sideway ชูจุดเด่นผลตอบแทนสูงถึง 15-20% ต่อปี ภายในระยะเวลาการลงทุน 3-6 เดือน จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หรือ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) พร้อมเพิ่มความมั่นใจในการคัดเลือกหุ้นที่จะมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิงโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Research และ Wealth Strategy & Advisory จาก InnovestX ที่เลือกเฉพาะหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี และสามารถ Customize หุ้นได้ตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละราย เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มทางเลือกด้านการลงทุนแก่นักลงทุนไทยในภาวะดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อดีดตัวสูง และในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วง Sideway หรือราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ แบบนี้

นายพยนต์ พงศาวรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกลยุทธ์และแนะนำการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกครึ่งปีแรก 2566 InnovestX มองว่ายังมีหลายปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในโลกของการลงทุน รวมถึงยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในไตรมาส 3/2566 จากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างพร้อมเพรียง โดยเรามองว่าภาพรวมของตลาดหุ้นในประเทศยังมีความไม่ชัดเจนและเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว

ลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันเรามีมุมมองว่าตลาดสหรัฐฯ ยังมีความผันผวนสูงหลังถูกกดดันจากนโยบายการเงินของ FED และตลาดจีนโตช้ากว่าคาด ทำให้ดัชนีภาคการผลิตชะลอตัว ด้วยเหตุนี้ InnovestX จึงนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เข้ามาตอบโจทย์สภาวะตลาดช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นต่างประเทศในหลายๆ Sector อยู่ในช่วง Sideway หรือราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ อย่าง “Offshore KIKO” หรือ Knock-In Knock-Out Equity Note หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น (Structured Notes) ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศ โดยมีลักษณะของผลตอบแทนในแง่ของดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไปซึ่งจะสอดคล้องกับสินทรัพย์ที่นำมาอ้างอิง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ที่มีประสบการณ์การลงทุนบนพื้นฐานของความเข้าใจและรับความเสี่ยงบนหุ้นอ้างอิงได้”

“ด้วยจุดเด่นของ Offshore KIKO จาก InnovestX ที่ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนสูงถึง 15-20% ต่อปี มีระยะเวลาการลงทุนเพียง 3-6 เดือน โดยได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นรายเดือน ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อ ลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท หรือ 30,000 USD โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ในตลาดทั่วโลก ซึ่งมีตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นฮ่องกงที่ได้รับความนิยมซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในประเทศ และเราเห็นว่านักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้นจากการเติบโตของฐานลูกค้าของ InnovestX ซึ่งเพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับปี 2564 นอกจากนี้ InnovestX ยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Research และ Wealth Strategy & Advisory คอยให้คำแนะนำและช่วยคัดเลือกหุ้นที่จะมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิง โดยเน้นเฉพาะหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี สามารถเลือกหุ้นอ้างอิง 1 ตัว หรือจับคู่กันตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ และหากนักลงทุนสนใจเลือกหุ้นด้วยตนเองก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่นักลงทุนต้องการเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถติดตามผลตอบแทนการลงทุนได้ พร้อมทั้งดูภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนในสินทรัพย์ทุกตัวได้ครบจบในที่เดียวบนแอปฯ InnovestX เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Offshore KIKO จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถตอบโจทย์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสในตลาดต่างประเทศ ที่ช่วงนี้อยู่ในสภาวะ Sideway ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน Offshore KIKO ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น ความเสี่ยงด้านราคา (Market Risk) ซึ่ง KIKO นั้นผูกกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง ความเสี่ยงในการได้รับสินทรัพย์อ้างอิงแทนเงินต้น (Physical Delivery Risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เนื่องจากต้องถือจนครบสัญญา โดยระหว่างทางไม่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ทันที ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงไม่สามารถชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ยได้ตามกำหนดเวลา และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Exchange Risk) เนื่องจากต้องมีการแปลงสกุลเงินต่างประเทศก่อนลงทุนทั้งนี้ InnovestX ยังให้บริการการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Notes) หลากหลายรูปแบบทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ เช่น Bonus Enhanced Note, Fixed Coupon Note, Bullish Shark-Fin Note, Twin-win Note และอื่นๆ อีกมากมาย และสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใน Offshore KIKO สามารถติดต่อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ InnovestX Customer Service 02 949 1999 หรือผู้แนะนำการลงทุนของท่าน

*การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนซึ่งมีปัจจัยอ้างอิง มีความแตกต่างจากการลงทุนในปัจจัยอ้างอิงโดยตรง จึงอาจทำให้ราคาของหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงดังกล่าวมีความผันผวนแตกต่างจากราคาของปัจจัยอ้างอิงได้ ทั้งนี้ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงมีความเสี่ยงที่จะสูญเงินลงทุนทั้งจำนวนหรือบางส่วนหากไม่มีการคุ้มครองเงินต้น หรือคุ้มครองเงินต้นต่ำกว่า 100% ของเงินลงทุน เนื่องจากหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงมีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนกว่าหุ้นกู้ทั่วไป ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ NUSA ชี้แจงข้อมูลโดยอ้างถึงงบการเงินในไตรมาสที่ผ่านมา 3 ประเด็นนั้น ทาง NUSA ขอชี้แจงในเบื้องต้น ดังนี้

1. รายการเข้าซื้อโรงแรมที่เยอรมนี

ในการเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขการซื้อเดิมจากการซื้อทรัพย์สิน (โรงแรม รวมถึงสิทธิในใบรับรองใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรม ซึ่งได้ออกให้ไว้โดยถูกต้องตามกฏหมายของประเทศเยอรมัน รวมตลอดถึงสิทธิ ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า ตราสินค้าของทรัพย์สินที่ซื้อขาย) เป็นการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท พานาซี แฟร์วาลทุงส์ จึเอ็มบีเฮช จำกัด (PNCV) ผู้ถือหุ้นใน บริษัท บาดิชเชอร์ โฮเทลแฟร์วัลทุงส์ จีเอ็มบีเฮช จำกัด (BHV) (เป็นเจ้าของทรัพย์ตามสัญญาซื้อทรัพย์สินเดิม)

เหตุที่บริษัทฯ ไม่รับเงินมัดจำคืนทันที เนื่องจาก ผู้ขายหุ้นใน PNCV คือบุคคลเดียวกับผู้ขายทรัพย์เดิม และปัจจุบันบริษัทได้รับการโอนกรรมสิทธิในหุ้น PNCV (เจ้าของโรงแรม) มาเป็นของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

2. รายการเกี่ยวกับบริษัท มอร์ มันนี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในธุรกิจจัดคอนเสิร์ต Rolling Loud Thailand

ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทได้รับชำระค่าหุ้นจำนวน 1.5 ล้านบาทแล้ว ยังคงเหลืออีกจำนวน 57.5 ล้านบาท โดยได้รับแจ้งขอขยายเวลาชำระคืนเงินเพิ่มทุนและเงินมัดจำ จำนวนรวม 57.5 ล้านบาท นั้น เนื่องจากทางมอร์ มันนี่ ใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายต่างๆในการจัดคอนเสิร์ต Rolling Loud Thailand 2023 ยังไม่แล้วเสร็จ ทางมอร์ มันนี่จึงขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 90 วัน ทั้งนี้บริษัทยังมีการคิดดอกเบี้ยในเงินส่วนที่ให้มีการขยายระยะเวลาดังกล่าวด้วย

3. ความสามารถของกลุ่มบริษัทในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง กรณีเจ้าหนี้ค่างานก่อสร้างของบริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม จำกัด (Legend Siam) โดย China International Economic and Trade Arbitration Commission มีคำชี้ขาดข้อพิพาทให้บริษัทชำระหนี้ของ Legend Siam ซึ่ง ณุศา ถือหุ้น เพียง 50% นั้น

ข้อพิพาทในการชำระหนี้ข้างต้น ยังไม่เป็นเหตุให้ผิดนัดในมูลหนี้อื่น เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งศาลเป็นที่สิ้นสุด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างนัดสืบพยานทั้งสองฝ่ายในศาลแพ่ง หากคำพิพากษาสิ้นสุดให้บริษัทชำระหนี้ด้งกล่าว บริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ในวงเงินประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอในการชำระหนี้และการขยายงานในอนาคต ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอให้หน่วยงานเกี่ยวข้องพิจารณา

บริษัทมีความมั่นใจอย่างยิ่ง ว่า ภาระตามข้อพิพาทดังกล่าว มิได้กระทบต่อสภาพคล่องและการชำระคืนหนี้ต่าง ๆ ของบริษัทฯแต่อย่างใด

Q2/66 หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ NASDAQ เป็นโอกาสของการลงทุน หลังผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด บวกกระแสลงทุนเอไอหนุน อีกทั้งนโยบายของ FED ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายและยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยน้อย ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางในตลาดหุ้นจีน มีความน่าสนใจระยะยาวจากนโยบายกีดกันเทคโนโลยีจีนของสหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นไทยแนะรอจังหวะความชัดเจนทางการเมือง จับตาเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ชี้ชะตาหุ้นไทยเกิดกระแส Election Rally

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดไว้ และประธาน FED ออกมาแถลงการณ์ว่าอาจจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีนี้ แต่ยังคงเป้าหมายการปรับลดอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% โดยผลที่ออกมาถือว่าไม่มีอะไรที่ส่งผลต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี ตลาดได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (Non-Farm Payrolls) ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา และอัตราการว่างงานประจำเดือน ต่างออกมาในมุมที่ดีต่อเศรษฐกิจ โดย Non-Farm Payroll ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ค่อนข้างมาก ที่ระดับ 253,000 ตำแหน่ง จากที่คาดไว้ 180,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานอยู่ที่ 3.4% น้อยกว่าที่ตลาดคาด

ขณะที่ Dollar Index กลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก บ่งบอกว่าตลาดได้มองข้ามตัวเลขดังกล่าวไปพอสมควร และให้ความสำคัญกับการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI Index) ในวันพุธนี้ (10 พ.ค.66) โดยตลาดคาดว่าจะทรงตัวในระดับ 5% จากเดือนก่อน

“หากตัวเลข CPI Index ออกมาต่ำกว่าที่คาดจะส่งผลดีต่อตลาด เพราะจะเป็นการเพิ่มโอกาสที่ FED จะคงดอกเบี้ย หรือ ลดดอกเบี้ย ในปีนี้ แต่ถ้าออกมาเพิ่มขึ้นจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดที่ FED อาจต้องกลับลำมาเพิ่มดอกเบี้ยอีกครั้ง”

ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาด NASDAQ โดยหลังการประกาศงบการเงินไตรมาสแรกของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทั้ง APPLE, MICROSOFT, ALPHABET และ META ต่างมีผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะ APPLE ที่เป็นผู้นำตลาด

สาเหตุหลักนอกเหนือจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ต้นทุนดำเนินการยังลดลงหลังจากบริษัทเทคโนโลยีกลุ่มนี้ต่างปรับลดพนักงานไปรวมกว่าหมื่นตำแหน่งในช่วงปลายปีที่แล้วและต่อเนื่องจนถึงต้นปีนี้ ประกอบกับผลกำไรในปี 2565 เริ่มกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดยุติลง

ที่สำคัญหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่กำลังเร่งลงทุนในโปรดักต์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) โดยเฉพาะ MICROSOFT, ALPHABET และล่าสุด META จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันความน่าสนใจของนักลงทุนได้พอสมควร และกระแสน่าจะอยู่ไปตลอดทั้งปีนี้

นายณพวีร์ กล่าวว่า ด้วยเหตุผลทั้งด้านงบการเงิน บวกกับปัจจัยบวกใหม่ และทิศทางนโยบายของ FED ที่เริ่มผ่อนคลายทางการเงิน ทำให้หุ้นในดัชนี NASDAQ มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่ได้รับผลกระทบจากสถาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในวงจำกัด เนื่องจากมีธุรกิจกระจายทั่วโลก ต่างจากหุ้นแบบดั้งเดิมที่อยู่ใน S&P500 ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจจะถดถอย

“ตั้งแต่ต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 21.2% เป็นดัชนีที่โดดเด่นที่สุดของโลก ขณะที่ดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทน 7.73% และดัชนี Dow Jones สร้างผลตอบแทน 1.59% แสดงให้เห็นว่าตลาดให้ความสำคัญกับหุ้นเทคโนโลยีมากกว่าหุ้นแบบดั้งเดิม ขณะที่กราฟเทคนิคดัชนี NASDAQ แนวโน้มกำลังเป็นขาขึ้น มีแนวต้านที่ 13,700 จุด และแนวรับ 12,800 จุด ถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจในไตรมาสสองและต่อเนื่องถึงไตรมาสสาม”

นอกจากนั้น อีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ คือ หุ้นเทคโนโลยีจีน ในดัชนี STAR 50 Index ซึ่งจะเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากนโยบาย CHIPS for America Act ที่จำกัดการสั่งซื้อเซมิคอนดักเตอร์จากจีน ทำให้มีโอกาสสูงที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนจะสั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัทขนาดกลางในประเทศแทน อีกทั้งรัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนอีกด้วย

ทางด้านกลยุทธ์การลงทุน สามารถมองเป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาวได้ โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุน ETF KraneShares SSE STAR Market 50 Index (ETF KSTR) เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) หรือ ลงทุนผ่านกองทุนรวมของไทยที่มีนโยบายลงทุนในดัชนี STAR50 ของจีน ได้เช่นกัน

สำหรับ ทิศทางตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีประเด็นที่ต้องจับตา คือ เสถียรภาพของว่าที่รัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้ง ถ้าหากไม่มีฝั่งที่ชนะอย่างชัดเจนจนทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตลาดหุ้นอาจจะตอบสนองในเชิงลบ เพราะธรรมชาติของตลาดหุ้นไทยชอบความชัดเจน และต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ

“ถึงแม้ว่าสัปดาห์นี้ SET Index เริ่มต้นได้ดี แต่ยังมีความเสี่ยงมาก การลงทุนแนะนำว่ารอดูความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หลังวันที่ 14 พ.ค.66 โดยมองแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1,500 จุด ถ้าหากหลุดจากระดับนี้ ดัชนีมีโอกาสจะเป็นขาลงในระยะยาว แต่ถ้ามีแนวโน้มสูงที่จะได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ น่าจะได้เห็น Election Rally เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต”

KBank Private Banking เห็นสัญญาณบวกในภาคการลงทุน จากที่ตลาดทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มกลับมา แต่ความผันผวนโดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ในระดับสูง แนะนักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุน ชู 3 กองทุนผสมภายใต้ K-ALLROAD Series* กองทุนอัจฉริยะที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย มาพร้อมปรับพอร์ตอัตโนมัติโดยยึดความเสี่ยงของสินทรัพย์เป็นหลัก จึงสร้างผลตอบแทนได้อย่างมั่นคงและควบคุมการขาดทุนได้ในทุกสภาพเศรษฐกิจ เผยเป็นซีรีส์กองทุนที่ลูกค้าตอบรับดี ระดมเงินลงทุนไปได้แล้วกว่า 6.3 พันล้านบาท **

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “บรรยากาศโดยรวมของการลงทุนในต้นปี 2566 นี้ปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI World Index ที่มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 (YTD Returns) ที่ 4.16% อย่างไรก็ดี ยังมีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องจับตา จากการประเมินของ Lombard Odier ค่าความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 78% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์ยังมีความเสี่ยงและยังไม่มีเสถียรภาพนัก อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ (Risk Appetite) จากการประเมินของ Lombard Odier ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกันมาอยู่ที่ระดับ 83% ถือว่าอยู่ในระดับพร้อมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk on) จากก่อนหน้าช่วงปลายปีที่อยู่ในระดับ 36% ที่นักลงทุนไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยง (Risk off)

เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตการลงทุนท่ามกลางความผันผวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังน่ากังวล KBank Private Banking ยังคงแนะนำลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคารให้แบ่งเงินลงทุน 50-60% ของพอร์ตลงทุนในสัดส่วนพอร์ตหลักโดยเน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภททั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ Risk-Based Asset Allocation เพื่อสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ช่วยให้สามารถลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) ในทุกสภาวะตลาด ผ่านกองทุน K-ALLROAD Series ที่มาพร้อมกลไกอัจฉริยะที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนให้สมดุลโดยอัตโนมัติในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน อาทิ ในช่วงตลาดปกติเพิ่มอัตราทดเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ในช่วงตลาดผันผวน ถือเงินสดเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสียหาย ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จัดการกับความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด

 

กองทุน K-ALLROAD Series ประกอบด้วย 3 กองทุนซึ่งแตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คือ K-ALLROAD-UI, K-ALLGROWTH-UI และ K-ALLENHANCE-UI โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากองทุนหลัก LO FUNDS - ALL ROADS Series ในต่างประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนและควบคุมความผันผวนได้ดีสมํ่าเสมอ สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ถ้าลงทุนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป

“KBank Private Banking ได้เริ่มแนะนำกองทุน K-ALLROAD Series ให้แก่ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 และจากภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้น ตลอดไตรมาสแรกของปี 2566 กิจกรรมการตลาดกับลูกค้าใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนผ่านการลงทุนใน K-ALL ROAD Series คาดว่าจะยังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ปัจจุบัน ทั้ง 3 กองทุนในซีรีส์นี้สามารถระดุมเงินลงทุนจากลูกค้าไปได้กว่า 6.3 พันล้านบาท** ” นายจิรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v

Page 3 of 6
X

Right Click

No right click