บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN  ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ พลังงานทดแทน และขนส่งแบบครบวงจร มอบเงินบริจาคทั้งสิ้น จำนวน 200,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลสามโคก, โรงพยาบาลปทุมธานี, มูลนิธิร่วมกตัญญู ศูนย์กู้ภัยสามโคก จังหวัดปทุมธานี และโรงพยาบาลปากเกร็ด 2 จังหวัดนนทบุรี เมื่อเร็วๆนี้

SCN โชว์กำไร 9 เดือน เติบโต 666 % สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจ ที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ชูธุรกิจพลังงานทดแทนและก๊าซ ยังได้รับอานิสงส์ต่อเนื่อง คาดการณ์รายได้ปีนี้โตตามเป้า

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สแกน อินเตอร์ หรือ SCN ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ พลังงานทดแทน และขนส่งแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 21.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 637.94% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 ที่มีกำไรสุทธิ 2.9 ล้านบาท และมีรายได้ 343.4 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้ 1,058.95 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 324.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 666.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 41.41 ล้านบาท

โดยการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเกิดจากความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการและการเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในทุกมิติของ SCN จากการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งธุรกิจก๊าซที่ยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่พุ่งส่งขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่เริ่มรับรู้รายได้และได้รับกำไรส่วนแบ่งจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ผลประกอบไตรมาส 3 นี้ถือว่ามีความโดดเด่น เติบโตในทิศทางที่ดีในทุกธุรกิจ และสะท้อนภาพรวมของการดำเนินธุรกิจของ SCN ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าจะทำให้ทิศทางแนวโน้มทั้งรายได้และกำไรจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” ดร.ฤทธี กล่าว

สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ธุรกิจพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่ดำเนินการโดยบริษัทสแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ได้รับโครงการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นอีก 2 โครงการ ทำให้ปัจจุบันมี COD ทั้งสิ้น 22 โครงการและมีขนาดกำลังผลิตรวม 19 เมกะวัตต์

ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาตินั้น ก็ถือว่ายังมีการเติบโตที่ดี ปริมาณความต้องการใช้ก๊าซยังอยู่แนวโน้มที่ดี จากราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เริ่มให้ความสนใจหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานทางเลือก และที่สำคัญ

บริษัทน่าจะได้รับอานิสงส์ด้านการตลาดและขยายกลุ่มลูกค้า ภายหลังจากการที่ บริษัท TOHO GAS ซึ่งเป็นบริษัทก๊าซธรรมชาติอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจเข้าร่วมลงทุน โดยผ่านการถือหุ้นในบริษัท Thai ST Energy Investment Company ซึ่งถือหุ้นร่วมกันระหว่าง TOGO GAS และ Shizuoka Gas และลงทุนในบริษัทเครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด (TJN) โดยทั้ง 2 บริษัทจากญี่ปุ่นถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจก๊าซและมีฐานลูกค้าในประเทศไทยที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าจะมี่ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 MMbtu ต่อวัน

ด้านธุรกิจอื่นๆ ถือว่าเป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าพอใจและสะท้อนให้เห็นถือทิศทางการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน ทำให้แนวโน้มรายได้และกำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

SCN ส่งสัญญาณท้ายปี เร่งปิดดีลประมูลงานรับเหมาก่อสร้าง คาดปีนี้ผลประกอบการฟื้นตัว รับอานิสงส์ราคาน้ำมันและค่าไฟขึ้น หลังกำไรสุทธิครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 669% พร้อมส่ง SAP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปลายปี 2566

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สแกน อินเตอร์ หรือ SCN เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทุกธุรกิจล้วนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซ ที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจ Solar Rooftop ที่น่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากราคาค่าไฟที่สูงขึ้น จนทำให้คาดว่าจะสามารถนำบริษัท สแกน แอดวานซ์ พาวเวอร์ หรือ SAP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปลายปี 2566

ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เมืองมินบู ถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศเมียนมาร์ นอกจากนี้บริษัทยังมีธุรกิจใหม่ที่มีความโดดเด่น น่าสนใจ ทั้งธุรกิจกัญชาซึ่งเริ่มมีการขายและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นอีกธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง และธุรกิจประมูลงานรับเหมาก่อสร้างและซ่อมบำรุงสถานี NGV ที่คาดว่าจะสามารถปิดดีลงานประมูลได้อีก 1-2 โครงการภายในปีนี้ รวมถึงการเข้าประมูลงานก่อสร้างที่ไม่เกี่ยวกับแก๊ส (non-gas) สำหรับสถานีให้บริการน้ำมันรูปแบบใหม่ ทำให้ภาพรวมของ SCN ในปีนี้ น่าจะมีผลประกอบการที่ฟื้นตัว และเติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน ภายหลังจากที่ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบของกำไรสุทธิถึง 669%

สำหรับภาพรวมธุรกิจของ SCN ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานั้น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับอุตสาหกรรม (iCNG) และก๊าซธรรมชาติเหลว (iLNG) ภายหลังจากที่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา SCN ขายหุ้นบริษัท เครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด (TJN) ให้กับกลุ่ม บริษัท Shizuoka Gas Company Limited ประเทศญี่ปุ่น ล่าสุด Toho Gas Co. Ltd. พันธมิตรรายใหม่ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติได้เข้ามาร่วมถือหุ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำธุรกิจ iCNG ในประเทศไทย โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปัจจุบันที่มียอดขายราว 5,000 MMBtuต่อวัน เป็น 10,000 MMBtu ต่อวัน

ขณะที่ธุรกิจก๊าซ NGV คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้าเริ่มหันมาใช้ก๊าซ NGV ทดแทน โดยปีนี้มีคาดว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน นอกจากนี้บริษัทได้เข้าประมูลงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงสถานี NGV เพิ่มเติม 1-2 แห่งทั้งในกรุงเทพฯและส่วนภูมิภาค โดยคาดว่าจะทราบผลประมูลภายในปีนี้ นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจสัมปทานการซ่อมบำรุงรถเมล์ NGV ของ ขสมก. จำนวน 489 คัน หลังจากที่ครบสัญญา 5 ปีแรกของรถเมล์ 100 คันแรก จะทำให้ได้รับค่าซ่อมบำรุงต่อคันต่อปีเพิ่มขึ้น ประกอบกับการดูแลและซ่อมบำรุงอย่างดีในช่วงปีแรกๆ ทำให้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 100-200 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) นั้น มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสดงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด 220 เมกะวัตต์ โดยที่เฟสที่ 2 จำนวน 50 เมกะวัตต์ จะสร้างเสร็จและเริ่มจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ ภายในไตรมาส 1 ของปี 2566 หลังจากที่เฟสแรก 50 เมกะวัตต์ ได้จ่ายไฟและรับรู้รายได้แล้วตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะเริ่มลงทุนในอีก 2 เฟสที่เหลือ

ในส่วนของธุรกิจ Solar rooftop ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 25 เมกะวัตต์ โดยตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 110 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทจะระดมทุนและหา พันธมิตรในการเจรจาควบรวมเพื่อซื้อกิจการ เพื่อขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต และตั้งเป้านำบริษัทเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

ด้านธุรกิจใหม่ การปลูกกัญชงแบบ Indoor บนพื้นที่ 3,159 ตารางเมตร โดยเริ่มปลูกในช่วงไตรมาสที่ 2 และคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2565 โดยมีกำลังการผลิต 200 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจในเฟสแรกประมาณ 270 ล้านบาทต่อปี

X

Right Click

No right click