บทความสัมภาษณ์พิเศษกับ มร.อามิต กอช ผู้อำนวยการ R3 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

September 29, 2020 6115

R3 มีภูมิหลังมาอย่างไร ปัจจุบันดำเนินการอะไรไป อย่างไรบ้าง และในประเทศไทยมีกี่โครงการ

บริษัทซอฟต์แวร์ระดับองค์กรที่บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมดิจิทัล ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีบล็อกเชนที่สร้างขึ้นเองโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจทุกประเภทในทุกอุตสาหกรรม Corda ได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือกับระบบนิเวศของสถาบันต่างๆ มากกว่า 350 แห่ง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนระดับองค์กรของ R3 ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมทั้งหมดด้วยการปรับเปลี่ยนกระบวนการและระบบต่างๆ ให้เข้าสู่ระบบดิจิทัล ซึ่งบริษัทต่างๆ ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อและทำธุรกรรมระหว่างกัน

งานของเราในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในภาคธนาคาร ซึ่งเราทำงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนสถาบันการเงินชั้นนำอื่นๆ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อจัดการกับปัญหาเร่งด่วนที่สุดในด้านการเงิน การค้า ห่วงโซ่อุปทาน และการชำระเงินแบบ B2B ยกตัวอย่างเช่น งานที่เกี่ยวข้องในด้านซัพพลายเชน เราเข้าใจว่ากระบวนการจัดหา เพื่อจ่ายซัพพลายเชนในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะเป็นกระบวนการที่ล่าช้า และไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการพึ่งพาเอกสารที่เป็นกระดาษ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้มากขึ้น ความไร้ประสิทธิภาพเหล่านี้ ยังส่งผลให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามมา

การทำงานของเราที่ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ ทำให้เกิดโซลูชันบล็อกเชนแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก สำหรับการจัดหา จัดการจ่ายที่เรียกว่า B2P ซึ่งขับเคลื่อนโดยผลิตภัณฑ์ Corda ผลิตภัณฑ์เรือธงของ R3 โซลูชันนี้ยังได้รับการนำมาใช้โดยเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นบริษัท ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่อื่น ๆ ของไทย

ด้วยการใช้ประโยชน์จากบล็อกเชน B2P สามารถช่วยลดเวลาที่ใช้ในกระบวนการจัดซื้อได้เป็นอย่างมาก และสามารถลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องได้ถึงกว่า 70% เมื่อเร็ว ๆ นี้ โซลูชัน B2P ได้ถูกนำไปใช้ในระบบนิเวศซัพพลายเออร์ของเครือซิเมนต์ไทย โดยคาดว่าซัพพลายเออร์มากกว่า 2,400 ราย จะได้รับประโยชน์จากโซลูชันนี้ภายในสิ้นปี 2563

นอกเหนือจากเครือซิเมนต์ไทยแล้ว R3 ยังมีประวัติประสบความสำเร็จในการทำงานร่วมกับองค์กรอื่น ๆ ในไทยอีก เช่น J Ventures ซึ่งเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในปี 2561 โดยมี Corda เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของบริษัท

ทิศทางธุรกิจและกลยุทธ์ของ R3 ในประเทศไทยเป็นอย่างไร

กลยุทธ์ที่ครอบคลุมของเราในประเทศไทยและภูมิภาค คือการเป็นซอฟต์แวร์ Distributed Ledger Technology (DLT) และที่ปรึกษาทางด้านความคิดสำหรับ ISV สถาบันการเงิน บริษัท ซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ รวมถึงบริษัทในทุกขนาด รวมถึงรัฐบาล

เราช่วยให้องค์กรมีโซลูชันบล็อกเชนที่จำเป็นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานแบบดิจิทัล จัดการขั้นตอนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ปรับปรุงระบบในหลายฝ่าย และจัดหาแพลตฟอร์มสำหรับการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล

ด้วยการเปิดตัวโครงการ Thailand 4.0 R3 เล็งเห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีเป้าหมายที่จะสร้างตัวเองให้เป็นศูนย์กลางในด้านนวัตกรรมดิจิทัลในระดับภูมิภาค

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในด้านเทคโนโลยี เนื่องจากสตาร์ทอัพและธุรกิจต่างๆเปิดกว้างมากขึ้นในการยอมรับเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เช่น เทคโนโลยีบล็อกเชน สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ R3 ได้พลิกโฉมธุรกิจของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและตลาดทุน

ในขณะที่เรายังคงร่วมดำเนินงานร่วมกับ บริษัทต่างๆ ในเส้นทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล เราจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนา Corda เพื่อค้นหาวิธีใหม่ ๆ ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนในอุตสาหกรรมของตน

ในฐานะหัวหน้า APAC ของ R3 คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบล็อกเชนได้หรือไม่ และมีผลต่อธุรกิจโดยรวมอย่างไร

ปัจจุบันประเทศไทยแซงหน้าคู่แข่งในภูมิภาคนี้ และกำลังปูทางไปสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในประเทศไทยในช่วงต้น ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามโดยรัฐบาลไทย สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม และกลุ่มบริษัทที่ดำเนินการเพื่อผสานรวมเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับธุรกิจของตน

แม้แต่ในภูมิภาค อินเดีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง ต่างก็กลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมบล็อกเชนและความก้าวหน้า ในขณะที่ "สภาวะปกติใหม่" เรียกร้องให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนรูปแบบไปสู่ดิจิทัล เพื่อให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้ blockchain จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่าย คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว หรือความปลอดภัย Blockchain จะช่วยให้ผู้นำในอุตสาหกรรมในอนาคต สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น สามารถทำงานร่วมกันข้ามพรมแดนและตอบสนองต่อปรากฎการณ์หงส์ดำ (Black Swan event) บริหารความเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว

หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย สิงคโปร์ และฮ่องกง จะยังคงเดินหน้าสำรวจการใช้ blockchain, DLT และ tokenisation ในแวดวงทางการเงิน ในขณะที่เรามองไปถึงอนาคตอันใกล้ R3 คาดว่าจะเป็นหัวหอกในการวิจัยและพัฒนา CBDC ภายในภูมิภาค และมีส่วนร่วมในโครงการความร่วมมือต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับหน่วยงานกำกับดูแลใน APAC

คุณจะเห็นอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างไร ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าผู้ให้บริการเทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงและพลิกโฉมเทคโนโลยีขององค์กรในทุกอุตสาหกรรมและสถานะของแบรนด์ต่างๆ โดยในความเป็นจริงการศึกษาแสดงให้เห็นว่า "New Normal" จะสนับสนุนองค์กรที่ใช้โซลูชันดิจิทัล ด้วยเหตุนี้ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเช่น R3 จะส่งมอบโซลูชันที่ช่วยให้องค์กรต่างๆ ไม่เพียงแต่อยู่รอดในสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันเท่านั้น แต่หากยังส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเจริญเติบโตและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและพิสูจน์ในอนาคต

ในขณะที่โลกก้าวเข้าสู่ภาวะ “New Normal” ความคล่องตัว ความโปร่งใส และประสิทธิภาพ จะกลายเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับทุกธุรกิจ ตัวอย่างเช่น บริษัททุกขนาดได้เห็นผลกระทบอย่างรุนแรงของการชะลอตัวของห่วงโซ่อุปทานอันเป็นผลมาจากข้อจำกัดด้านพรมแดนทั่วโลก ที่เกิดจากสถานณ์การการแพร่ระบาดของ COVID-19 สิ่งนี้กระตุ้นให้องค์กรต่างๆนำเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างบล็อกเชน มาช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาการดำเนินงานทั่วโลกจากระยะไกลและสามารถรับประกันความต่อเนื่องของธุรกิจได้

ในทำนองเดียวกันในอุตสาหกรรมการเงินการค้าธนาคารต่างต้องการเปลี่ยนกระบวนการการเงินการค้าของตนให้เข้าสู่ระบบขดิจิทัลผ่านระบบบล็อคเชนเพื่อใช้ในการหลีกเลี่ยงการปิดกั้นทั่วโลก https://www.contour.network/เมื่อเร็ว ๆ นี้ธนาคาร เช่น DBS Bank และ Asian Development Bank ได้ประกาศว่าได้เข้าร่วมเครือข่าย Contour ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่ใช้โดยธนาคารชั้นนำในด้านการเงินการค้า เช่น HSBC, BNP Paribas, ING และ Standard Chartered ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มบล็อกเชนโอเพนซอร์สของ R3 Corda

Covid19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณหรือไม่ ในทางบวกหรือทางลบอย่างไร

ปัจจุบันการแปลงไปสู่ระบบดิจิทัลมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับทุกองค์กร เนื่องจากจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงความอยู่รอดและความต่อเนื่องของธุรกิจ ในขณะที่พวกเขาต้องก้าวเข้าสู่ภาวะปกติหรือ New Normal ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดเราได้เห็นความต้องการระบบคอร์ด้าในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลผ่านการนำระบบบล็อกเชนมาใช้

ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดองค์กรต่างๆ อาจนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้อย่างช้าๆ เนื่องจากการปรับปรุงระบบเดิมอาจเป็นกระบวนการที่น่าเบื่อ เสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลามาก เนื่องจาก Corda ได้รับการออกแบบโดยธุรกิจสำหรับธุรกิจเราจึงเข้าใจการในความพยายามที่จะนำความสามารถในการทำงานร่วมกันกับระบบเดิมและสร้าง Corda บนแพลตฟอร์มที่ใช้กันทั่วไป เช่น Java เพื่อให้สามารถรวมเข้ากับระบบที่ธุรกิจใช้อยู่แล้วเป็นไปได้อย่างง่ายดาย

R3 เชื่อว่าอุปสรรคในการเข้าสู่ระบบบล็อกเชนมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นความผันผวนทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นเหตุผลที่เรามุ่งเน้นไปที่ต้นทุนการรวมระบบที่ลดลง ความยืดหยุ่นของระบบ และการปรับใช้ที่ง่ายขึ้นในโซลูชันทั้งหมดของเรา สถานการณ์ COVID 19 ได้กระตุ้นให้เกิดความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงภายในสำหรับหลาย ๆ องค์กร และเราได้เห็นบริษัทอีกจำนวนมากขึ้น ที่มีส่วนร่วมในการพิจารณาและปรับปรุงกระบวนการภายในใหม่

เมื่อมองไปในอนาคตเทคโนโลยีบล็อกเชน จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องมือพื้นฐานที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในเกือบทุกธุรกิจและอุตสาหกรรม บล็อกเชนมีความสามารถในการสร้างโลกที่เชื่อมต่อถึงกันแบบดิจิทัลที่คล่องตัว ปลอดภัย ยืดหยุ่น และโปร่งใส ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถต้านทานการตกต่ำของธุรกิจ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ในวันนี้ พรุ่งนี้ และหลังจากนั้นด้วย

 

 

X

Right Click

No right click