คุณปรีชา วงษ์บัณฑูรย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงิน 2 และคุณภรสิริณัฐ ถนอมทองพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ Virtual Branch บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ คุณเฉลิม ประดิษฐอาชีพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ธนาคารกรุงไทย มอบสินไหมทดแทน ให้แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์โกดังพลุระเบิดที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ด้วยความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุ บัตรเอทีเอ็มประเภท บัตรเดบิตกรุงไทย แคร์ จำนวน 100,000 บาท

จากเหตุการณ์ความสูญเสียในครั้งนี้ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทยได้ลงพื้นที่ดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทน บรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัวอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม เพื่ิอให้ประชาชนมั่นใจว่าบริษัทฯ พร้อมเคียงข้างผู้ประสบภัยในทุกวิกฤต

นายดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงไทย ในงาน Thailand Future Careers 2023 ซึ่งจัดโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 ที่โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีผู้บริหารและพนักงานธนาคารกรุงไทยให้การต้อนรับ

ธนาคารกรุงไทย มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation Technology) และเปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างสรรค์ผลงานด้านนวัตกรรมอย่างเต็มที่ โดยมีการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานด้านการบริหารบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการ Upskill และ Reskill เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของพนักงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยีให้พร้อมก้าวสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น ด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ โครงการ Krungthai Hackathon ที่มุ่งเน้นให้พนักงานจากทุกสายงานและกลุ่มอายุร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมทางการเงินผ่านกระบวนการ Design Thinking ตลอดจนสนับสนุนให้พนักงานทุกคน กล้าเปลี่ยนเพื่อก้าวนำ โดยธนาคารเปิดรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความก้าวหน้า ด้วยงานที่ท้าทาย มีโอกาสร่วมงานกับบุคลากรชั้นนำ พร้อมความภาคภูมิใจที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่มีส่วนยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น ตลอดจนมีความยืดหยุ่นในการทำงานด้วยคอนเซ็ปต์ “Flexible Workplace” และสวัสดิการที่ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์ เช่น สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับพนักงาน และทุนศึกษาต่อต่างประเทศ ผู้ที่สนใจร่วมงานกับธนาคารกรุงไทย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://hr.krungthai.com/Home/JoinUs

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566-2567 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 ขึ้นมาอยู่ที่ 27.1 และ 36.6 ล้านคน โดย นักท่องเที่ยว GIFT+ เป็นกลุ่มที่น่าจับตาจากการมีศักยภาพด้านการใช้จ่าย และเป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก คาดในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้จะมีสัดส่วนราว 45-50% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด แนะผู้ประกอบการศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว GIFT+ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจ

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยในช่วง Pre-COVID (ปี 2562) ภาคการท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือราว 16% ของ GDP ทั้งนี้ แม้การระบาดของ COVID-19 จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยซบเซาลง แต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในครึ่งหลังของปี 2565 ที่ผ่านมา

“จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566-2567 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 มาอยู่ที่ 27.1 ล้านคน และ 36.6 ล้านคน ตามลำดับ กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง Pre-COVID ที่ 39.9 ล้านคน ได้ในช่วงปี 2567 โดย นักท่องเที่ยว GIFT+ ซึ่งประกอบด้วย 1) ประเทศแถบตะวันออกกลาง (Gulf) ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวโดยรวมถึง 70-125% 2) อินเดีย (India) ที่จำนวนประชากรกำลังจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลก และ 3) ประเทศแถบเอเชียตะวันออก (Far easT+) อย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และรัสเซีย เป็นกลุ่มที่น่าจับตาเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพด้านการใช้จ่าย และบางส่วนยังเป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก”

นายธนา ตุลยกิจวัตร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่า คาดว่านักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ที่เดินทางเข้าไทยในช่วงปี 2566-2567 จะมีจำนวนเท่ากับ 12.2 และ 18.5 ล้านคน คิดเป็น 45-50% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด โดยสาเหตุหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ มีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยต่อเนื่องเป็นเพราะภาคการท่องเที่ยวไทยมีจุดเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางอากาศ ทำให้ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

“รายงาน Travel & Tourism Competitiveness Report ที่จัดทำโดย World Economic Forum ชี้ว่าภาคการท่องเที่ยวไทยมีความสามารถในการแข่งขันอยู่ในอันดับ Top 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเป็นรองเพียงสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ขณะที่ ข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ยังชี้ว่าไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยผลสำรวจของ Dragon Trail International บริษัทเอเจนซี่สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนระบุว่าหากไม่นับกลุ่มประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ไทยถือเป็น Top 1 ของประเทศที่ชาวจีนสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุด เช่นเดียวกับข้อมูลของ Google Destination Insights ที่ชี้ว่าไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ที่ชาวอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว”

นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่าการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวโดยตรงอย่างธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ห้างค้าปลีก และขนส่ง เพียงเท่านั้น แต่ธุรกิจอื่น ๆ อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจ Healthcare ก็มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างชาติไปด้วยเช่นกัน

“เพื่อเป็นการคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างชาติ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ เพื่อจะได้ออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงใช้ช่องทางการตลาดให้เหมาะสม ส่วนบทบาทของภาครัฐในระยะสั้นควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงจุดอ่อนของภาคการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะปัญหาด้านความปลอดภัยเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วง Pre-COVID ให้ได้เร็วที่สุด ส่วนในระยะกลาง-ยาว ควรผลักดันการท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อกระจายรายได้สู่จังหวัดอื่น ๆ รวมถึงควรให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพให้มากขึ้น เช่น กลุ่ม Gulf อย่าง ซาอุดิอาระเบีย คูเวต อิสราเอล และสหรัฐอาหรับฯ ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวอยู่ในระดับสูง”

“กอช.” จับมือ “ธนาคารกรุงไทย” เปิดรับชำระเงินของสมาชิก กอช. ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการจ่ายเงินสะสม ส่งเสริมการออมสร้างความมั่นคงทางการเงิน และคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ให้ความสำคัญของการออมกับ กอช. และให้การสนับสนุนประชาชนคนไทย ที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระได้เข้าถึงการออมกับ กอช. ที่ง่ายขึ้น สะดวกสบาย รวดเร็วด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มาประยุกต์ใช้ในการออมเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดเวลาในการเดินทาง โดยออมเงินผ่านสมาร์ทโฟน บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งสามารถออมต่อเนื่องได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐในเดือนถัดไป ตามช่วงอายุสูงสุด 100% หรือไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี และเงินออมของสมาชิกสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินบุคคลธรรมดาประจำปี

ทั้งนี้ สมาชิก กอช. ที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ออมต่อเนื่องกับ กอช. ได้ผ่านเป๋าตัง ด้วยเช่นเดียวกันเพียงกรอกข้อมูลเพิ่มเติมในรหัสโครงการว่า “กยศ.” โดยการออม 1 ครั้ง จะเป็นการสะสมชั่วโมงจิตสาธารณะได้ 1 ชั่วโมงต่อเดือน ทั้งนี้ การออมกับ กอช. เมื่อคุณออม รัฐจะเพิ่มเงินสมทบให้ และเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์คุณจะได้รับเงินบำนาญรายเดือนจาก กอช. ดั่งสโลแกนที่ว่า “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ตระหนักถึงความสำคัญของวางแผนการทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะการออมเพื่อการเกษียณ จึงมุ่งมั่นส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับคนไทยทุกกลุ่ม สนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินในทุกรูปแบบอย่างทั่วถึง สะดวก ลดความเหลื่อมล้ำ ที่ผ่านมา ธนาคารได้ร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้บริการ นำส่งเงินสะสมงวดถัดไปของสมาชิกกอช. ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เครื่อง ATM และ สาขาทั่วประเทศ ล่าสุดได้ต่อยอดความร่วมมือ ด้วยการพัฒนาระบบเพื่อยกระดับการให้บริการ โดยเพิ่มช่องทางการรับชำระเงินนำส่ง กอช.ผ่าน แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Platform ที่คนไทยคุ้นเคยและเข้าถึงได้สะดวก

ความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ X2G2X ของธนาคาร ที่มุ่งยกระดับบริการภาครัฐ เชื่อมต่อกับ ภาคประชาชนและภาคธุรกิจอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงสนับสนุนตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีของ กอช. ในการเพิ่ม สมาชิกรายใหม่ จากฐานผู้ใช้งานแอปฯ “เป๋าตัง” ที่มีจำนวนกว่า 40 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ ให้ได้รับความสะดวกในการสะสมเงินออมไว้ใช้ในยามเกษียณ รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีในการออมให้กับสมาชิกกอช. ที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านกลุ่มสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ พร้อมยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนในการเข้าถึงหน่วยงานของรัฐได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการลดความเหลื่อมล้ำและเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

ธนาคารกรุงไทย เปิดขายหุ้นกู้อนุพันธ์ชุดใหม่ “Gold Twin-Win” เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทอง ที่คาดหวังผลตอบแทนจากการเคลื่อนไหวของราคาทอง เปิดโอกาสทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง โดยกำหนดตอบแทนสูงสุดถึง 8.99%* ความเสี่ยงต่ำ คุ้มครองเงินต้น 100% โดยธนาคารกรุงไทย เปิดจองซื้อ 15-17 กุมภาพันธ์นี้

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุน ตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากทุกสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน ล่าสุด ธนาคารได้ออกและเสนอขาย หุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Gold Twin-Win อายุ 1 ปี จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนทั้งราคาขาขึ้นและขาลง ทั้งนี้หากราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบที่กำหนด ผู้ลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสูดถึง 8.99% ในกรณีที่ราคาทองคำลง หรือ สร้างผลตอบแทนสูงสุด 5.99% ในกรณีที่ราคาทองคำปรับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่ยังไม่แน่ใจทิศทาง และกลัวการสูญเสียเงินต้น เนื่องจากหุ้นกู้อนุพันธ์มีจุดแข็งคุ้มครองเงินต้น 100% โดยธนาคาร ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch Rating ที่ระดับ AAA

ในปี 2565 ราคาทองทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และโดนกดดันอย่างหนักจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและผลจากการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า จนปรับตัวมาแตะจุดต่ำสุดที่ประมาณ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงเดือนกันยายน เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในอนาคต ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ตามทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่ชะลอลงและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศหันมาถือครองทองคำมากขึ้น อย่างไรก็ตามราคาทองอาจมีความผันผวนได้ทั้งจากความไม่แน่นอนของสงคราม รวมถึงผลการประชุม FOMC ล่าสุดที่เฟดยังไม่ส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Gold Twin-Win จึงถือเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ตอบโจทย์ในภาวะตลาดที่คาดเดาทิศทางได้ยากโดยหากตลอดระยะเวลาการลงทุน ราคาทองเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่กำหนด

ผู้ลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำจะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง พร้อมลดความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินต้นด้วยการคุ้มครองเงินต้นเต็มจำนวน 100% จากธนาคารกรุงไทยเมื่อถือครองจนครบกำหนด โดยอัตราผลตอบแทนคำนวนจากกรณีที่ราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบ ที่ขอบบน +10% และขอบล่าง -15% ปรับด้วยเงื่อนไขอัตราการมีส่วนร่วม 60% และแสดงเป็นตัวเลขก่อนการแปลงค่าเงิน USDTHB ทั้งนี้หากราคาทองเคลื่อนไหวนอกรอบ ผู้ลงทุนรับผลตอบแทนคงที่ 0.25% (ผลตอบแทนก่อนปรับค่าเงิน USDTHB ) ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนก่อนการลงทุน อัตราการมีส่วนร่วม และ ขอบบน ขอบล่าง อาจมีการเปลี่ยนแปลงกรณีตลาดผันผวน และธนาคารจะประกาศตัวเลขสุดท้ายในวันที่ 13 ก.พ.66 ,ทองคำอ้างอิง SPDR Gold Shares

ธนาคารเตรียมเสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Gold Twin-Win ให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาท เปิดจองซื้อผ่านทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2566

 

Page 2 of 6
X

Right Click

No right click