“วลัยพร ช่วยยก” เจ้าของร้านจำหน่ายข้าว ใน อ.เมืองนครศรีธรรมราช ที่ทำเป็นธุรกิจครอบครัวมาหลายปี กระทั่งผันตัวเองมาเปิดร้านไก่ย่าง กับธุรกิจห้าดาว จากจุดเริ่มต้นที่ลูกชายของเธอชอบรับประทานไก่ย่าง ประกอบกับตัวเธอเองเป็นคนที่ใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว จึงตั้งมาตรฐานกับอาหารสำหรับครอบครัวไว้ค่อนข้างสูง ไม่ใช่จะทานอะไรก็ได้ ดังนั้นเนื้อไก่ที่ลูกทานก็ต้องเป็นไก่ที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย ซึ่งแบรนด์เดียวที่เธอมั่นใจคือ “ไก่ย่างห้าดาว”

วลัยพรไม่รีรอที่จะติดต่อส่วนกลางของธุรกิจห้าดาวผ่านเบอร์ 02-800-8000 จากนั้นทีมงานห้าดาวในพื้นที่นครศรีธรรมราช ก็ติดต่อกลับเธอในทันที ตั้งแต่เข้ามาช่วยหาพื้นที่ในการเปิดร้าน การดูทำเลร้าน รวมถึงประสานงานกับพื้นที่ จนในที่สุดร้านห้าดาวสาขาแรก ที่หน้าร้านเซเว่นเปิดใหม่ หน้าอบต.ท่าซัก อ.เมืองนครศรีธรรมราช จึงเริ่มต้นเปิดร้านในเดือนมิถุนายน 2565 ในรูปแบบกลาสเฮ้าส์ ที่ทันสมัย มีที่นั่งในร้านอย่างสะดวกสบาย จึงได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก สาขานี้ขายดีอย่างที่ตั้งเป้าไว้

“ตอนที่เริ่มเปิดสาขาแรก ก็ไม่คิดว่าจะทำจริงจังขนาดนี้ แค่อยากให้เป็นธุรกิจเสริมเพื่อให้ลูกได้ทานไก่ย่างที่ได้มาตรฐาน แต่เวลาทำอะไรเราทุ่มเทอยู่แล้ว โดยเริ่มลงทุนทำเองตั้งแต่เริ่มต้น ทางห้าดาวให้ไปเรียน 5 วัน โดยให้ทีมงานไปด้วย 1 คน ได้เรียนรู้รูปแบบธุรกิจ การบริหารร้าน การจัดการสินค้า เทคนิคการขาย จากนั้นก็ลงมือเองทุกอย่าง เพื่อให้เราทำเป็นและในที่สุดคือสอนงานทีมงานได้ หลังจากใช้เวลาเรียนรู้ จนทีมงานพร้อมและทำได้เหมือนเรา หลังจากนั้นก็ปล่อยมือให้เขาทำกันเอง โดยเราดูแลให้ได้มาตรฐานตามที่บริษัทกำหนด และย้ำกับทีมงานตลอดว่าต้องขายสินค้าที่ดี อร่อย และต้องซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอ” วลัยพร กล่าว

เมื่อร้านแรกไปได้สวย จากนั้นร้านสาขาที่ 2 ก็ตามมา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพราะอยากให้ลูกทานไก่มาตรฐานเท่านั้น แต่วลัยพรกับสามีคิดตรงกันว่า การลงทุนทำร้านอย่างน้อยก็เป็นการสร้างงานในคนพื้นที่ ให้มีรายได้ มีงานทำ และยังทำให้คนในชุมชนได้รับประทานอาหารที่มีมาตรฐาน สะอาด ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เมื่อมีพื้นที่เหมาะสม เธอจึงเปิดร้านอีกสาขาใกล้บ้าน จากแนวคิดที่ว่าหากซื้อบ้านหลังละล้านกว่าบาท แล้วให้คนมาเช่าก็จะได้ค่าเช่าเดือนละ 3-4 พัน แต่ถ้ามาลงทุนกับร้านห้าดาวหรือซุ้มไก่ย่าง ก็ยังมีกำไรหมุนเวียนต่อเนื่อง

“จากร้านห้าดาวร้านแรก ใช้เวลาเพียง 1 ปี 3 เดือน ในการขยายสู่ร้าน 11 สาขาในวันนี้ ทั้งสาขาที่นครศรีธรรมราช 10 สาขา และขยายสาขาไปที่พัทลุงอีก 1 สาขา ไปทำที่บ้านเกิดของเรา เพราะอยากให้มีร้านห้าดาว ให้คนในพื้นที่บ้านเราได้รับประทานอาหารที่มีมาตรฐาน และคนในชุมชนก็ได้มีงานทำด้วย ถือว่าเราบรรลุเป้าหมายที่วางไว้แล้ว ทั้งเรื่องมาตรฐานอาหารที่ทุกคนควรมีโอกาสเข้าถึง และการสร้างงานสร้างอาชีพด้วยธุรกิจห้าดาว” วลัยพร บอกอย่างมั่นใจ

 

สำหรับกุญแจของความสำเร็จ วลัยพรบอกว่า เกิดจากสินค้าที่มีมาตรฐานที่ดี ซึ่งตัวเธอมั่นใจกับซีพี เพราะเคยทำงาน FOOD Store ของข้าวตราฉัตร มานานกว่า 7 ปี เธอเชื่อมั่นในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท ที่มีการยกระดับมาตรฐานสินค้าที่ดีอยู่แล้ว ยิ่งธุรกิจห้าดาวที่เป็นผู้นำในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ที่มีการจัดการร้านและการจำหน่ายที่ดี ควบคู่กับการจัดโปรโมชั่นของบริษัท เมื่อผนวกกับการวางแผนการสั่งสินค้าที่เหมาะสม มีเทคนิคการขาย และการสร้างคนให้พร้อมในการทำงานเสมอ และเธอยังเข้าตรวจร้านทุกสาขา มีกล้องวงจรปิดที่สามารถสั่งการผ่านกล้องได้ ช่วยในการดูแลร้าน  ดูการทำงานของทีมงานและลูกค้า ทำให้ธุรกิจทั้ง 11 สาขาของวลัยพรสำเร็จได้อย่างไม่ยาก

“ห้าดาวไม่ใช่แค่ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้เราเท่านั้น แต่ยังสร้างอาชีพให้คนในชุมชนอีกมากมาย ไม่เฉพาะร้านของเรา แต่หมายถึงธุรกิจแฟรนไชส์ห้าดาวทั่วประเทศ อีกกว่า 5,000 สาขา เชื่อว่าธุรกิจนี้จะกลายเป็นมรดกให้กับลูกๆได้ อย่างลูกคนโตอายุ 18 ปี ที่เริ่มเข้ามาเรียนรู้ธุรกิจต่อจากเราแล้ว ส่วนลูกคนเล็กอายุ 12 ปี ก็สนใจมาก โดยนำธุรกิจของแม่ ทั้งการบริหารงาน การดูแลการทำงานของทีมงาน ไปเสนอในวิชาเลือกธุรกิจที่โรงเรียน ถือว่าเป็นความภูมิใจของเขา สำหรับคนที่อยากทำธุรกิจสิ่งที่ต้องมุ่งเน้น คือ ความจริงจังและซื่อสัตย์กับลูกค้า ไม่หวังกำไรอย่างเดียว ต้องเป็นผู้ให้คืนกลับสู่สังคมด้วย” วลัยพร กล่าวทิ้งท้าย.

มุ่งมั่นเดินหน้าปลูกจิตสำนึกเยาวชนและคนไทยทั้งประเทศ สร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้ ผ่านการประกวดภาพถ่าย ‘สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ’ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 29 โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผนึกกำลังเครือเจริญโภคภัณฑ์ ด้วยการดำเนินงานของ ซีพีเอฟ ซีพีออลล์ และทรู คอร์ปอเรชั่น จัดพิธีมอบรางวัลโครงการปลูกจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประกวดภาพถ่าย 'สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ' ประจำปี 2565-2566 พร้อมจัดนิทรรศการภาพถ่ายอันทรงคุณค่า ประจำปี 2565 และ ปี 2566 ณ ลานกิจกรรมชั้น 1 และผนังโค้งชั้น 3 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.อาชว์ เตาลานนท์ รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศในปี 2565-2566 มีดังนี้

  • ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

-  ประจำปี 2566 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทสัตว์มีค่า ภาพพฤติกรรมสัตว์ป่า

นายธีรพงศ์ เพ็ชร์รัตน์ เจ้าของภาพ “ศึกชนช้าง”

- ประจำปี 2565 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทสัตว์มีค่า ภาพสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

นายปฤษฎิ์ เก่งสูงเนิน เจ้าของภาพ “More than Dream”

  • ถ้วยประทานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

- ประจำปี 2566 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทป่ามีคุณ ภาพถ่ายระยะใกล้

นายศราวุฒิ ทองเมือง เจ้าของภาพ “Hoar Frost”

- ประจำปี 2565 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทป่ามีคุณ ภาพทิวทัศน์

นายสุชาติ เกื้อทาน เจ้าของภาพ “ไออุ่นแห่งขุนเขา”

ทั้งนี้ ในปี 2565 และปี 2566 มีเยาวชนและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 1,126 คน รวม 4,041 ภาพ เป็นการตอกย้ำ และสร้างความตระหนัก ปลูกใจรักสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สมบัติอันล้ำค่าอันเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติให้ยั่งยืนสืบไป

ปลูกใจรักสิ่งแวดล้อม ทรูปลูกปัญญา

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธี ส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่เครือซีพี โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือ JCC ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 36 หนุนโภชนาการที่ดี สร้างคลังอาหารในโรงเรียน-ชุมชน มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เยาวชน ปูพื้นฐานอาชีพนำองค์ความรู้ไปใช้ในอนาคต ณ โรงเรียนบ้านนาคำ (โพนสวรรค์) อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม

 

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า  รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ JCC ให้ความสำคัญในการส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการสนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โดยโครงการฯ นี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการงานร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมี มูลนิธิฯ เป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโรงเรียนทั้ง 4 แห่งในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่ได้รับโอกาสนี้ จะดำเนินโครงการด้วยความตั้งใจ บริหารจัดการไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียน และขอขอบคุณ JCC มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ที่เดินหน้าโครงการฯ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักเรียน โรงเรียน และชุมชน

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า มูลนิธิฯ และซีพีเอฟ ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 โดยในปี 2543 มูลนิธิฯผนึกกำลังกับ JCC ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายสนับสนุนโครงการฯ จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 24 ปี โดยเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงโภชนาการที่ดี ให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและชุมชนในถิ่นทุรกันดาร สำหรับปีนี้ JCC สนับสนุนงบประมาณ แก่ 4 โรงเรียนในจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย โรงเรียนบ้านนาคำ โรงเรียนบ้านนาเต่า โรงเรียนบ้านค้อ และโรงเรียนพระซองวิทยาคาร

 

ส่วน นายวราราชย์  เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ผู้แทนรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนมูลนิธิ ทั้งงบประมาณและบุคลากร อย่างเต็มกำลัง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปติดตาม ดูแล ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงไก่ไข่ และการจัดการผลผลิตไข่ไก่สด แก่ครูและนักเรียนในโรงเรียนที่ร่วมโครงการฯอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารโครงการได้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมสุขภาพของเด็กเยาวชนไทย ที่เป็นอนาคตของประเทศ จากการบริโภคไข่ไก่อาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างเพียงพอ อิ่มท้อง สมองแจ่มใส และหวังว่าโรงเรียนจะสามารถดำเนินการบริหารจัดการสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป

ทางด้าน นายโคโซ โท รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวว่า JCC ตระหนักถึงความสำคัญของโภชนาการในเด็กวัยเรียน และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือและส่งเสริมในด้านอาหารและโภชนาการแก่เยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับก่อสร้างโรงเรือน การติดตั้งอุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์ในการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นแรก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดี ตลอดระยะเวลา  24 ปีที่ผ่านมา มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ภายใต้ความร่วมมือของ JCC รวม 146 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยนำรายได้จากการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นที่ 1 มาเป็นกองทุนบริหารจัดการในรุ่นต่อไป ส่งผลให้สามารถขยายผลสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนได้อย่างแท้จริง

ปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน 959 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียนกว่า 180,000 คน คุณครูและบุคลากรทางการศึกษากว่า 1,300 คน ตลอดจนชุมชน ได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการบริหารฟาร์มขนาดเล็ก และประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญด้านการจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู นักเรียน ได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายให้แก่ชุมชน ทำให้ชาวชุมชนได้บริโภคไข่ไก่สดในราคาที่เหมาะสม สร้างรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผล เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำผู้นำคะแนนน้อยแลกได้ จับมือ บริษัทเคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ผู้ให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการที่ 7-Eleven ทุกสาขา ออกแคมเปญ “ใช้คะแนน KTC FOREVER แทนเงินสด ด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ 7-Eleven”

ครั้งแรกกับการเปิดให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถใช้คะแนน KTC FOREVER เริ่มต้นเพียง 10 คะแนน แลกแทนเงินสดได้ 1 บาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าที่ 7-Eleven 14,500 สาขาทั่วไทย เพิ่มความสะดวกสบายและความคุ้มค่าให้แก่สมาชิก คาดสมาชิกแลกใช้คะแนนทั้งแคมเปญ 20 ล้านคะแนน

นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานการตลาดและสื่อสารองค์กร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดตัวแคมเปญ “ใช้คะแนน KTC FOREVER แทนเงินสด ด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ 7-Eleven” ในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์การตลาดของเคทีซีที่ต้องการมอบความคุ้มค่าให้กับสมาชิกบัตรเครดิตผ่านคะแนน KTC FOREVER ซึ่งเคทีซีเป็นผู้ริเริ่มและมุ่งเน้นมาตลอด โดยเฉพาะการใช้คะแนนน้อยที่สามารถแลกความคุ้มค่าได้

“การได้ร่วมมือกับทางเคาน์เตอร์เซอร์วิส เปิดให้ใช้คะแนนทุก 10 คะแนน แลกแทนเงินสด 1 บาทในการซื้อสินค้าที่ 7-Eleven นับเป็นครั้งแรกในตลาดที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพื่อมอบความคุ้มค่าและอำนวยความสะดวกให้สมาชิกเคทีซีใช้คะแนนแทนเงินสด โดยไม่มียอดขั้นต่ำ และไม่จำกัดจำนวนครั้งในการแลกคะแนน ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2567”

“เราหวังว่าแคมเปญนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยตอบโจทย์สมาชิกในหมวดใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันเคทีซีมีสมาชิกบัครเครดิต 2.62 ล้านใบ และคาดว่าสมาชิกจะนำคะแนนมาแลกซื้อสินค้าตลอดทั้งแคมเปญ 20 ล้านคะแนน”

 นายวีรเดช อัครผลพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า “เคาน์เตอร์เซอร์วิสตระหนักถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเสมอมา เราเปิดให้บริการความร่วมมือกับพันธมิตรโดยใช้แนวคิด Open Ecosystem เพื่อนำเสนอ PAAS (Platform As A Service) แพลตฟอร์มที่พร้อมส่งมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ในครั้งนี้บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด ร่วมมือกับ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นครั้งแรกของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่สามารถใช้คะแนน KTC FOREVER ในบัตรเครดิตเคทีซี แตะหรือรูดจ่ายค่าสินค้าได้เลย โดยเราร่วมพัฒนาการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Real-time และส่งมอบ เอกสิทธิ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลมากที่สุดและสะดวกที่สุด

“การใช้คะแนนบัตรเครดิต KTC FOREVER แทนเงินสดที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นสำหรับแลกรับสินค้า เลือกได้ตามความต้องการของลูกค้า ไม่ต้องแลกเป็นคูปอง เปรียบเสมือนเงินสดที่สามารถรับชำระสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมส่งมอบสิทธิพิเศษและความสะดวกสบายนี้ให้กับลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านจุดให้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven ทุกสาขากว่า 14,500 สาขาทั่วประเทศ

“ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ประกาศผลตอบแทนสำหรับหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 3 รุ่น อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี และอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี โดยการเสนอขายช่วงที่ 1 จะให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA (ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 31 ตุลาคม 2566) จองซื้อระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 และช่วงที่ 2 สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 มั่นใจกระแสตอบรับดี จากปัจจัยสนับสนุนทั้งผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ อายุหุ้นกู้ที่มีให้เลือกถึง 3 รุ่น และอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้จากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจในฐานะผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย ที่พร้อมขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีศักยภาพ

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่สำหรับหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 รุ่น ดังนี้ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี โดยช่วงที่ 1 สำหรับผู้ลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA (ไม่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคลที่เป็นสหกรณ์) คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 โดยผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA สามารถจองซื้อได้ทั้ง 3 รุ่น สูงสุดรวมกันไม่เกินสิทธิของหุ้นกู้ CPALL23OA เดิมที่ถืออยู่ ผ่านธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ส่วนช่วงที่ 2 สำหรับผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไป คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า

“บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ทั้งผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA ที่ได้รับสิทธิจองซื้อในช่วงที่ 1 โดยสามารถใช้เงินเดิมที่จะได้รับในวันที่ 31 ตุลาคม 2566 จองซื้อต่อได้เลย และยังสามารถไปจองซื้อพร้อมกับผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไป ในช่วงที่ 2 ได้ด้วย” นายเกรียงชัยกล่าว

ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้ลงทุนสนใจหุ้นกู้ซีพี ออลล์ มาจาก หนึ่ง ผลตอบแทนที่น่าพอใจ สอง อายุหุ้นกู้ที่มีให้เลือกตั้งแต่ 5 ปี 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งผู้ลงทุนสามารถวางแผนบริหารจัดการเงินลงทุนให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ต้องการ สาม ช่องทางการเสนอขายที่มีความหลากหลายผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ รวมถึงผ่านแอปพลิเคชั่นที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุนในยุคดิจิทัล สี่ บริษัทฯ และหุ้นกู้ชุดดังกล่าวยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “Positive” ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของผู้ลงทุนทั่วไปที่จะสามารถเข้าถึงหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูง สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะต่อไปได้เป็นอย่างดี

“ซีพี ออลล์” เป็นผู้ประกอบธุรกิจหลักในการบริหารร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ที่ให้บริการความสะดวกกับชุมชน โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทฯ มีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 14,215 สาขา มีรายได้รวม 112,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านกลยุทธ์ O2O อาทิ 7Delivery และ All Online ซึ่งได้รับการตอบสนองจากลูกค้าเป็นอย่างดี สำหรับเป้าหมายการขยายสาขาในปีนี้ บริษัทฯ วางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของชุมชน โดยวางแผนจะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขา และมีเป้าหมายที่จะเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาให้ครบ 100 สาขา ภายในปีนี้

ล่าสุด “ซีพี ออลล์” ได้เปิดให้บริการร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” สาขาแรกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ในนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง มีสินค้ากว่า 5,000 รายการ รองรับกับความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารพร้อมทาน รวมถึงสินค้าเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของ สปป.ลาว ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศและกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ การให้บริการสาขาแรกของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ใน สปป.ลาว ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากผู้บริโภค ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้การขยายสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านมีโอกาสเติบโตได้อย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากการขยายธุรกิจอย่างแข็งแกร่งแล้ว “ซีพี ออลล์” ยังมีเป้าหมายสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้การบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก FTSE4Good Index ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 (2018-2023) ในกลุ่ม Food Retailers & Wholesalers และยังคงรักษามาตรฐานมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมในทุกมิติ รวมถึงได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing กลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 (2017-2022) และกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (2018-2022) ซึ่งจะเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ ซีพี ออลล์ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

ช่วงที่ 1 สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA (ไม่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบัน และนิติบุคคลที่เป็นสหกรณ์) ได้สิทธิจองซื้อหุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น รวมกันไม่เกินสิทธิของหุ้นกู้ CPALL23OA เดิมที่ถืออยู่ คาดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 ติดต่อ

1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333

2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai Next ได้อีก 1 ช่องทาง)

3. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784

 

ช่วงที่ 2 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ไม่รวมถึงบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้เยาว์) และผู้ลงทุนสถาบัน (ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้นกู้ CPALL23OA) จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท คาดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 ติดต่อ

1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking ได้อีก 1 ช่องทาง ในช่วงจองซื้อช่วงที่ 2)

2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น KMA ได้อีก 1 ช่องทาง)

3. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร.02-111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai Next ได้อีก 1 ช่องทาง)

4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 ต่อ 819 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

6. ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

7. บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Dime! ได้อีก 1 ช่องทาง)

 

Page 1 of 6
X

Right Click

No right click