กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เดินหน้าสู่บริบทใหม่ในปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero” เร่งขับเคลื่อนพลวัตเพื่อบรรลุพันธกิจแห่งความยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติด้านชุมชน สังคม และเศรษฐกิจ ตลอดจนร่วมแก้ไขปัญหาที่เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนของโลก เสริมทัพด้วยพลังศักยภาพของพนักงานกรุงศรี กรุ๊ปกว่า 20,000 คน ร่วมรับมือกับวิกฤตการณ์โลกเดือดและการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศที่ส่งผลให้เกิดมหันตภัยทางธรรมชาติที่รุนแรง

เมื่อเร็วๆ นี้ สหประชาชาติได้ออกคำเตือนถึงการเข้าสู่ "ยุคโลกเดือด" พร้อมเรียกร้องประชาคมโลกให้ตระหนักถึงภัยคุกคามด้านสภาวะภูมิอากาศ ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกคนต้องร่วมแก้ไขอย่างจริงจัง กรุงศรีในฐานะสถาบันการเงินชั้นนำของไทยและพลเมืองโลกที่มีความรับผิดชอบ ได้ร่วมรับมือวิกฤตนี้พร้อมเร่งดำเนินการตามวิสัยทัศน์สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของธนาคาร ที่มุ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573 และจากบริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 

กรุงศรีตอกย้ำความเป็นผู้นำภาคการเงินไทยในการขับเคลื่อนพันธกิจแห่งความยั่งยืนให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง ผ่านปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero รวมพลัง หยุด!โลกเดือด” ระดมพลังความรู้ความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานกรุงศรี กรุ๊ป กว่า 20,000 คน รับมือกับความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ พร้อมขับเคลื่อนให้พันธกิจแห่งความยั่งยืนเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โลกและเราทุกคนได้ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญด้านสภาวะภูมิอากาศ กรุงศรีดำเนินการเพื่อรับมือกับความรุนแรงของวิกฤตการณ์โลกเดือด ด้วยการเร่งปลูกฝังแนวคิดและสร้างวัฒนธรรม Net Zero ในองค์กร  มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างเร่งด่วน  ด้วยความร่วมมือร่วมใจของพนักงานกรุงศรี กรุ๊ป กว่า 20,000 คน เรามีศักยภาพที่แข็งแกร่งในการช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผ่านวิถีการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันแบบคาร์บอนต่ำ พร้อมส่งต่อพลังแห่งแนวคิด Net Zero นี้ไปยังลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ ยกระดับปฏิบัติการ Krungsri Race to Net Zero สู่สังคมในวงกว้าง พลวัตการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายนี้จะช่วยสนับสนุนประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ที่ตั้งไว้”

“ปฏิบัติการ Krungsri Race to Net Zero เป็นบทพิสูจน์อีกวาระหนึ่งของกรุงศรีที่สะท้อนถึงจิตสำนึกรับผิดชอบในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีจุดยืนเพื่อความยั่งยืน  และดำเนินการตามแนวทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของ MUFG ผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ของกรุงศรี” นายยามาโตะกล่าว

ปฏิบัติการ Krungsri Race to Net Zero ได้กำหนดเป้าหมายปี 2566-2567 ดังนี้

  • การเสริมสร้างศักยภาพของพนักงาน:  พัฒนาหลักสูตรอบรมอย่างเข้มข้นและครอบคลุม รวมทั้งสนับสนุนด้านทรัพยากรที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความความรู้ ความเข้าใจด้านแนวคิด นโยบาย และเป้าหมาย Net Zero กลยุทธ์ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนรณรงค์ให้ตระหนักถึงบทบาทส่วนบุคคลของพนักงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว
  • กิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน: ปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero” กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย ที่สนุกสนาน น่าสนใจและมีส่วนร่วมได้ง่าย โดยได้รับการพัฒนามาเพื่อสร้างความเข้าใจด้านการดำเนินงานเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วยการอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยการสื่อสารแบบสองทาง กิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วม และเกมต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้
  • พันธกิจแห่งความยั่งยืนเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน: กรุงศรีมุ่งมั่นสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อพันธกิจแห่งความยั่งยืน และสนับสนุนให้พนักงานมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายพันธกิจดังกล่าว ภายใต้ปฏิบัติการ “Krungsri Race to Net Zero” พนักงานสามารถมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอนทั้งในที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว

ความสำเร็จในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ ของกรุงศรี ตอกย้ำปณิธานของธนาคารในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ และเป็นแบบอย่างแก่ภาคการเงินไทย ซึ่งรวมถึงการประกาศวิสัยทัศน์แห่งความเป็นกลางทางคาร์บอน การเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่ได้รับรางวัลสำนักงานสีเขียว (ระดับดีเยี่ยม)  และเป็นสมาชิกตั้งต้นของเครือข่าย Carbon Markets Club ในปี 2564 ตลอดจนเป็นธนาคารที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำประกาศเจตนารมณ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Declaration) ของสมาคมธนาคารไทย และเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกที่ได้จัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรครอบคลุมทุกอาคารสำนักงาน สาขาธนาคาร และบริษัทย่อยในปี 2565

LINE ประเทศไทย เดินหน้าส่งเสริมวิถี “เซลฟ์แคร์” (Self Care) การดูแลสุขภาพกาย–ใจในยุคดิจิทัล ด้วยตัวเอง เริ่มนำร่องในวันสุขภาพจิตโลก 10 ตุลาคม นี้เป็นต้นไป จับมือพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ Love Frankie และ Art for Cancer ร่วมจัดเต็มกิจกรรม-คอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพจิตและการดูแลรักษาโรคมะเร็ง ผ่าน 3 บริการฮิต LINE VOOM – LINE OpenChat – LINE TODAY สานต่อแนวคิด LINE Digital Well-being ให้การดูแลตัวเองเป็นเรื่องง่ายและทำได้ในชีวิตประจำวัน 

ในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมาความสนใจในเรื่อง “เซลฟ์แคร์” (Self Care) การดูแลตัวเอง เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากความตึงเครียดสะสมของสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ผู้คนจึงเริ่มสนใจมองหาวิธีในการดูแลตัวเองทั้งร่ายกายและจิตใจ หลายคนอาจคิดว่า “การดูแลตัวเอง” เป็นภาระที่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงหรืออาจต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เซลฟ์แคร์เริ่มต้นได้ด้วยการลงมือทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเองในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้คนบนโลกดิจิทัลที่มักจะหาข้อมูลคอนเทนต์ที่สามารถใช้ตรวจสอบ ดูแล และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและอาการผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วยตัวเองก่อนจะเข้าหาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ 

LINE ประเทศไทย เห็นความสำคัญและความต้องการข้อมูลที่เชื่อถือได้ของผู้ใช้บนโลกออนไลน์ จึงเดินหน้าจับมือพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ Love Frankie ครีเอทีฟเอเจนซีเพื่อสังคม ผู้ผลิตคอนเทนต์ส่งเสริมทัศนคติเชิงบวกด้านสุขภาพจิตในการใช้ชีวิตและเผชิญปัญหาในสังคม และ Art for Cancer องค์กรเพื่อสังคมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง ผ่านรูปแบบการใช้ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์เป็นสื่อกลาง โดยทั้ง 2 หน่วยงาน จะผลิตคอนเทนต์คุณภาพนำเสนอสู่ผู้ใช้งาน LINE ผ่าน 3 บริการ ได้แก่  LINE VOOM – LINE OpenChat – LINE TODAY

LINE VOOM ชวนทุกคนมีส่วนร่วมในคอนเทนต์คุณภาพไปกับ Art for Cancer ร่วมสร้างคลิปคอนเทนต์เป็นยากำลังใจให้ผู้ป่วยมะเร็ง หรือ ร่วมแชร์ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ พร้อมติด #ArtforCancer โชว์ความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น พร้อมชวนร่วมชมคลิปสั้น สนทนาปัญหาสุขภาพจิตจาก Love Frankie เคล็ดลับวิธีการเยียวยาจิตใจตัวตนเองในทุกๆ วัน 

สนุกกับฟิลเตอร์พิเศษบน LINE VOOM ได้ที่ https://lin.ee/O71A7QfN/lntl/PR 

LINE OpenChat พบกับสารพัน Live talk กับห้องสนทนาด้วยเสียงได้ตลอดทั้งปี โดย episode พิเศษจาก “ดีเจพี่อ้อย นภาพร” และคุณออย ไอรีล ไตรสารศรี ผู้ก่อตั้ง Art for Cancer ที่จะมาร่วมทอล์กเพิ่มพลังใจเพื่อผู้ป่วยและการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เวลา 12.00 น.

ติดตามได้ห้อง OpenChat ART for CANCER: https://lin.ee/79ykw2M/gyjp

นอกจากนี้ยังมีแคมเปญ The Nook จาก Love Frankie ที่มีกลุ่มโอเพนแชท #WTFeeling by #TheNook พื้นที่กิจกรรมด้านสุขภาพจิตที่หลากหลายสำหรับวัยรุ่นให้ได้ติดตามกันในระยะยาวโดยภายในห้อง OpenChat มีนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตที่จะคอยพูดคุยกับสมาชิกในห้อง

ทั้งยังสามารถติดตาม “เขื่อน ภัทรดนัย” ที่จะมาร่วมทอล์กในซีรีย์ vlog What's This Feeling (WTF) เกี่ยวกับสารพัดหัวข้อสุขภาพจิตของคนเมือง เริ่มจาก episode แรก “Alone Together โดดเดี่ยวไปด้วยกัน สานสัมพันธ์ ทลายความเดียวดาย” บนช่องทางของ Love Frankie

ติดตามห้อง OpenChat #WTFeeling by #TheNook ได้ที่: https://lin.ee/ri5Nc73/gyjp 

LINE TODAY รวบรวมทุกคอนเทนต์สาระความรู้เพื่อการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจจากทั้ง Love Frankie และ Art for Cancer และยังมีหัวข้อโพลชวนทุกคนให้มีส่วนร่วม เช็กสุขภาพกายใจของตนเองอีกด้วย 

การดูแลตัวเองทำได้ง่ายๆ เริ่มต้นได้ด้วยการเข้าถึงคอนเทนต์และข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อตัวเองได้แล้ววันนี้บน LINE VOOM – LINE OpenChat – LINE TODAY

 

MEAT ZERO ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ต้อนรับเทศกาลถือศีลกินเจ ตั้งแต่วันที่ 15-23 ตุลาคม 2566 หลากหลายเมนู ภายใต้แนวคิด 'ถูกเจ ถูกใจ ใครๆ ก็กินได้' ทำให้เทศกาลกินเจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ด้วยรสชาติที่ถูกปากทุกกลุ่มวัย ไม่ต้องกังวลจะแตกเจ พร้อมเพิ่ม 2 เมนูใหม่! 'เนื้อไก่นุ่ม' เอาใจสายโชว์ฝีมือทำอาหาร และ 'ไส้กรอกค็อกเทลเจ' เอาใจสายเร่งรีบ สะท้อนผ่าน 3 Tiktoker ชื่อดัง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง ได้แก่ 1. พี่ฮง (Bangkokboykub) หนุ่มเกาหลีมาดกวน ทรงแบดๆ 2. เชฟอิน (Kamlangin) เชฟมากความสามารถ ที่รังสรรค์เมนูต่างๆ ได้อร่อยถูกปาก จนทุกคนต้องทำตาม และ 3. คุณอินทนนท์ (intanont246) นักเล่าเรื่องที่มีความเรียลและสนุกตามคาเรคเตอร์ พร้อมทริคมูต่างๆ ที่จะมาสร้างสีสัน ทำให้ทุกคนเห็นว่า ใครๆ ก็กิน MEAT ZERO ได้

สำหรับเทศกาลกินเจปีนี้  MEAT ZERO จัดเต็ม! นำผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชมาให้เลือกสรรมากมายตลอด 10 วัน ได้ทั้งบุญทั้งสุขภาพ ตั้งแต่อาหารพร้อมรับประทาน อาทิ ราเมนผัดพริกเผา ข้าวถั่วแขกผัดพริกเกลือ ข้าวผัดคะน้าปลาเค็มพริกสด วุ้นเส้นอบทรงเครื่อง ไส้กรอกวุ้นเส้น ลาบทอด เกี๊ยวซ่า เบอร์เกอร์ปลา ไส้กรอกค็อกเทล โบโลน่า และอาหารพร้อมปรุงยอดฮิต อย่าง เนื้อบด เนื้อสามชั้น ไก่นุ่ม โปรตีนทางเลือกให้ผู้บริโภค วางจำหน่ายแล้วที่ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไทย

นอกจากนี้ MEAT ZERO ยังร่วมกับคู่ค้าธุรกิจและร้านอาหารชั้นนำ อาทิ Chester Black Canyon Salad Factory The Coffee Club นิตยาไก่ย่าง Sukishi แสนยอด Terrace รังสรรค์เมนูเจโดยใช้วัตถุดิบหลักเนื้อจากพืช พร้อมจับมือ ห้าง Central รวม 8 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ เวสต์เกต พระราม 3 อีสต์วิลล์ พระราม 2 พระราม 9 ปิ่นเกล้า และบางนา ขนทัพเมนูเจให้ชิมช้อป ในงาน Thailand J Food Festival 2023 รวมทั้งห้างโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/meatzero/ 

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช (Plant-Based) แบรนด์ MEAT ZERO ด้วยนวัตกรรม Plant-Tec จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะ เนื้อสัมผัส และรสชาตที่อร่อยเสมือนเนื้อสัตว์จริง โปรตีนและไฟเบอร์สูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีโคเลสเตอรอล ตอบโจทย์ผู้บริโภค กลุ่มเจ วีแกน มังสวิรัติ มังสวิรัติยืดหยุ่น ตลอดจนกลุ่มคนที่รักสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อม การันตีคุณภาพและความอร่อย ด้วยรางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก” หรือ Superior Taste Award จากสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute ประเทศเบลเยียม 2 ปีซ้อน

  • เรียนรู้ความสำคัญของ Family Business Management เพื่อสานต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ ที่ดีต่อทุกฝ่าย
  • แนะวิธีรับช่วงต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ และแก้ Pain Point ด้วยวิชา Family Business Management

การบริหาร ‘ธุรกิจครอบครัว’ หรือที่คนไทยพูดกันติดปากว่า ‘ธุรกิจกงสี’ มักมีประเด็นปัญหาภายในที่คนในครอบครัวถกเถียงกันแล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร หนำซ้ำบางเรื่องหาทางออกไม่ได้ บางเรื่องมีความขัดแย้งจนบานปลาย ส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะขาดองค์ความรู้และความเข้าใจด้านการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีความเข้าใจในชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรม รวมถึงจริยธรรม

สำหรับประเด็นที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ (Extension School) ผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และเป็น ผู้ก่อตั้ง บริษัท แฟมซ์ จำกัด (FAMZ Co., Ltd.) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 7 ของการดำเนินธุรกิจได้แบ่งปันมุมมอง พร้อมสะท้อนแง่มุมปัญหาและแนวทางแก้ไขของธุรกิจครอบครัวกับกองบรรณาธิการ MBA อย่างน่าสนใจ

ความสำคัญของศาสตร์ด้านการบริหารธุรกิจครอบครัว

เนื่องจากการบริหารธุรกิจของแต่ละครอบครัวมีอัตลักษณ์แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงซ้อน เช่น ความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ ตลอดจนความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ สิทธิประโยชน์ อำนาจการบริหาร ความสนใจส่วนบุคคล ฯลฯ ซึ่งยากจะบริหารให้บรรลุผลและลงตัว อีกทั้งไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เนื่องจากแต่ละครอบครัวก็มีมิติปัญหาที่แตกต่างกัน

ที่สำคัญ การบริหารธุรกิจ ก็มีความแตกต่างกับ การบริหารธุรกิจครอบครัวด้วย

จากผลการสำรวจภาพรวมของธุรกิจครอบครัวโดย FAMZ พบว่า ธุรกิจในประเทศไทยมากกว่า 80% เป็นธุรกิจครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น ซีพี ไทยเบฟ กลุ่มเซ็นทรัล แต่หากสำรวจเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะพบว่า มีธุรกิจครอบครัวอยู่ราว 70% ซึ่งมีผลประกอบการค่อนข้างดี

“สำหรับธุรกิจครอบครัวนั้นถ้าหากสามารถบริหารจัดการได้ดีก็จะเป็นผลดีหลายประการ ทั้งชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และภายในครอบครัวเองก็มีความเข้มแข็ง ถ้าหากสามารถบริหารความขัดแย้ง และไม่ทะเลาะกัน”

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยกล่าว และยกตัวอย่างหลายกรณีที่เป็นประเด็นปัญหาความละเอียดอ่อนต่างๆ อาทิ

กรณีแรก: หากผู้บริหารต้องการนำรายได้จากธุรกิจครอบครัวไปจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว เช่น หากต้องการซื้อรถให้หลาน สามารถทำได้หรือไม่

เรื่องการใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งของต่างๆ ให้สมาชิกในครอบครัว หากต้องการบริหารเพื่อความมั่งคั่ง รศ.ดร.เอกชัยระบุว่า ต้องจัดการหรือแก้ไขด้วยระบบ เพื่อเป็นการสร้างสภาพคล่อง โดยให้กลับไปกำหนดหลักการ หรือทบทวนหลักการก่อน อาทิ คนทำงานในตำแหน่งใดจะได้ใช้รถอะไร คนที่ไม่มีตำแหน่งงานสามารถใช้รถอะไรได้ และจะนำเงินจากส่วนไหนไปซื้อ จะจัดสรรผลประโยชน์อย่างไร ฯลฯ

กรณีที่สอง: ผู้บริหารหญิงที่รับหน้าที่แบกรับภาระ และ ทำงานเต็มที่อยู่คนเดียว แต่เมื่อมีลูกแล้วต้องการเปลี่ยนโหมด ขอทำงานน้อยลง เนื่องจากต้องการเวลาไปดูแลลูก แล้วธุรกิจครอบครัวควรจะทำอย่างไร

การให้ทายาท (Successor) เพียงคนเดียวบริหารงานของธุรกิจครอบครัวถือเป็นความเสี่ยงของบริษัท เพราะหากผู้ที่ทำหน้าที่หลักไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ก็จะส่งผลให้คนอื่นๆ จะไม่สามารถทำอะไรต่อได้ หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกพักใหญ่ สำหรับการมอบหมายความรับผิดชอบให้กับสมาชิกที่เป็นหญิงแบกรับภาระเพียงผู้เดียว แล้วเมื่อมีการสมรส มีบุตรในภายหลังก็อาจทำให้ความทุ่มเทที่มีต่อธุรกิจครอบครัวเป็นไปอย่างไม่เต็มที่นัก ดังนั้น “ความเป็นผู้หญิง” จึงทำให้ถูกมองได้ว่า ทำให้การบริหารภายในธุรกิจครอบครัวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

 

“จากกรณีดังกล่าวจึงเกิดวัฒนธรรมและแนวคิดที่ต้องการให้ผู้ชายมาบริหารธุรกิจครอบครัวก่อนหากว่าสามารถเลือกได้ โดยต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างทายาทธุรกิจหลายคน เช่น มีทายาทอันดับ 1, 2, 3 เพราะเมื่อใดที่สมาชิกครอบครัวที่เป็นหญิงแต่งงานไปก็มักจะไปช่วยกิจการของครอบครัวคู่สมรส แต่อย่างไรก็ตาม หากว่า บ้านใดเตรียมตัวก่อน หรือมีการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงกันก่อน ปัญหาในธุรกิจครอบครัวก็จะน้อยลง”

กรณีที่สาม: หากทายาทไม่มีต้องการสืบทอดหรือทำธุรกิจครอบครัวต่อ แบรนด์ธุรกิจครอบครัวที่มีอายุยาวนานก็จะต้องปิดตัวลงหรือไม่

โดยทั่วไป สมาชิกในครอบครัวก็ย่อมอยากจะให้คนในครอบครัว หรือเครือญาติเข้ามาบริหาร หรือสืบทอดกิจการ เนื่องจากมีความเชื่อถือและไว้วางใจกับสมาชิกในครอบครัว และสมาชิกร่วมสายโลหิตว่าเป็นคนบ้านเดียวกันเติบโตมาด้วยกัน เป็นคนกลุ่มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในโลกความจริงก็ไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวที่มีขอบเขตธุรกิจมากมายที่ต้องบริหารอยู่แล้วก็อาจจำเป็นต้องเลือกว่า ธุรกิจใดหรือช่วงเวลาใดควรจะให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินการ หรือบริหาร หรือควรที่จะจ้างมืออาชีพจากภายนอกเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว

รศ.ดร.เอกชัยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า "การวางตัวผู้บริหารธุรกิจต่อไปนั้นจะเป็นใครก็ได้ เพียงแต่คนที่เป็นเจ้าของต้องมีความเข้าใจก่อนและวางระบบบริหารธุรกิจครอบครัวของตนเอง เพื่อทำให้การบริหารธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น โดยส่วนตัว ผมอยากให้มี One Family, One Wisdom หรือ หนึ่งครอบครัว หนึ่งภูมิปัญญา” เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวส่งต่อองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น เติบโตไปกับ Soft Power ซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐ และจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจครอบครัวอยู่ต่ออย่างยั่งยืนได้"

แน่นอนว่า การให้สมาชิกครอบครัวบริหารธุรกิจของครอบครัวย่อมเป็นทางเลือกที่ดี ดังนั้น ผู้บริหารจึงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัวอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่าน เช่น ความรู้ด้านการตลาด ด้านการเงิน ฯลฯ รวมทั้งการดูแลใส่ใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว

ทว่า หลังจากที่ธุรกิจเติบโต มีมาตรฐานมากขึ้น งานซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่หากทายาทไม่สนใจรับช่วงต่อ เพราะไม่มีการพูดคุยกันให้ชัดเจน ไม่มีการเตรียมแผนการสืบทอดกิจการ การคัดเลือกทายาททางธุรกิจ ฯลฯ ดังนั้น ผู้นำธุรกิจครอบครัวก็อาจเลือกใช้วิธีจ้างมืออาชีพ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาบริหารงานแบบเต็มตัว ขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการก็สามารถเปลี่ยนบทบาทของตนเองไปเป็น ‘ผู้ลงทุน’ คล้ายกับองค์กรที่มีบริษัทแม่คุมและถือหุ้นบริษัทลูกก็ได้

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ยกมาเล่าสู่กันฟังนี้ ไม่สามารถใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาหรือยึดคำแนะนำดังกล่าวเป็นสูตรสำเร็จได้ เนื่องจากบริบทของแต่ละธุรกิจครอบครัวนั้นแตกต่างกัน ที่สำคัญ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมตามสภาพความเป็นจริงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมด้วย

เปลี่ยนผ่านธุรกิจครอบครัว ด้วยชุดวิชาบริหารจัดการที่เป็นรากฐานความเข้าใจ

ในการสร้างรากฐานความเข้าใจ และเพื่อให้ธุรกิจครอบครัวเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนนั้น จากคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจครอบครัวมาอย่างยาวนานของ ศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ บริษัท แฟมซ์ จำกัด ซึ่งมีความเข้าใจกับปัญหาของการบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างหลากหลายแง่มุม อีกทั้งมีมุมมองปัญหาด้วยทัศนคติที่ดี มีหลักการเชิงวิชาการ พร้อมทั้งมีการศึกษา ตลอดจนงานวิจัยที่ FAMZ ศึกษามาอย่างยาวนาน เพื่อใช้ในการวางแผนและการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว ขณะเดียวกัน ก็เป็นการดำเนินการในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เพื่อตอบโจทย์สังคมในยุคที่มีคนต่างเจเนอเรชันก้าวขึ้นมาสืบทอดหรือบริหารกิจการ ซึ่งมี Pain Point ที่คล้ายคลึงและต่างกันไป กอปรกับต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เข้ากับโลกดิจิทัล

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงการพัฒนาหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) ว่า

กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัว (Concentration in Family Business Management) ซึ่งพัฒนาโดย คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในรูปแบบออนไลน์ 100% นั้นสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจครอบครัวยุคใหม่ เหมาะกับสมาชิกในครอบครัวรุ่นถัดไป ผู้สืบทอดกิจการ หรือผู้ประกอบการที่มุ่งรักษาและบริหารความมั่งคั่งให้กิจการของครอบครัวตัวเอง โดยผู้เรียนจะได้เรียนกลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัวที่มีคณาจารย์ออกแบบและใช้สอนมานานกว่า 15 ปี ทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษามาแล้วกว่า 500 ธุรกิจ อาทิ การบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจครอบครัว, การบริหารความขัดแย้ง, การบริหารนวัตกรรมในธุรกิจครอบครัว, กฎหมายและภาษีของธุรกิจครอบครัว, การวางแผนสืบทอดธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านในธุรกิจครอบครัว, การบริหารความมั่งคั่ง ฯลฯ เพื่อใช้ปฏิบัติได้จริง”

ธุรกิจครอบครัว ยั่งยืนด้วย ESG

สำหรับแนวคิดเรื่อง ESG ที่มีพูดถึงกันมากในขณะนี้ รศ.ดร.เอกชัยเผยว่า "ผู้บริหารธุรกิจครอบครัวสามารถดำเนินการได้ควบคู่กันไประหว่าง “ธุรกิจ” และ ESG ได้ โดยเมื่อธุรกิจสามารถทำกำไรได้แล้วก็สามารถดำเนินการ เพื่อส่งเสริมแนวทางด้าน ESG ไปได้ด้วย โดยเริ่มจาก E (Environment สิ่งแวดล้อม) S (Social สังคม) แล้ว G (Governance ธรรมาภิบาล) ก็จะตามมา และถ้าอยากให้ระบบเป็นไปได้ยาวๆ ธุรกิจครอบครัวก็จำเป็นที่จะต้องมี ‘ระบบธรรมาภิบาลที่ดี’ เพื่อลดปัญหาความอยุติธรรม ความไม่เป็นมืออาชีพ พร้อมกันนี้ ก็ร่วมปลูกฝังให้รุ่นลูกรุ่นหลานเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ และดึงทายาทรุ่นใหม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมและสานต่อธุรกิจกันต่อไป และแนวทางการบริหารธุรกิจครอบครัวกับหลักการความยั่งยืนอย่าง ESG นั้นเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.famz.co.th 

 

บันยันทรี กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการชั้นนำของโลกที่มีแบรนด์โรงแรมในเครือมากมาย จับมือกับ บริษัท เครสตั้น โฮลดิ้ง จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทย เผยโฉม “บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์” โครงการ Branded Residences ระดับลักชัวรีแห่งแรกของเขาใหญ่ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท บนพื้นที่โครงการซึ่งเป็นที่ดินผืนใหญ่ขนาด 226 ไร่ และมีทะเลสาบขนาด 30 ไร่ใจกลางโครงการ ด้วยทำเลที่โอบล้อมด้วยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ได้รับการประกาศเป็นผืนป่ามรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ทำให้โครงการเป็นที่พักอาศัยที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เดินหน้าวางแผนเตรียมเปิดตัวพูลวิลล่าขนาด 3 และ 4 ห้องนอนแบบตกแต่งครบครันรวม 21 ยูนิต และคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ขนาด 1, 2 และ 3 ห้องนอนทั้งสิ้น 16 อาคารในเฟสแรก พร้อมมอบเอกสิทธิ์และไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับจากเครือบันยันทรี สองบริษัทประกาศร่วมยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตอันหรูหราเหนือระดับท่ามกลางทิวทัศน์แห่งขุนเขาเขียวชอุ่มและธรรมชาติอันตระการตาหนึ่งเดียวในเมืองไทย

นายโฮ กวงปิง ประธานกรรมการบริษัท บันยันทรี กรุ๊ป เผยว่า “การเปิดตัว บันยันทรี เรสซิเดนซ์ โครงการใหม่ล่าสุดในประเทศไทย นับเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการอสังหาฯ เราเตรียมนำเสนอที่สุดแห่งที่พักอาศัยเหนือระดับที่จะประกอบด้วยวิลล่าหรู คอนโด ไปจนถึงโรงแรมและ Veya Wellness Resort เพราะเราเข้าใจดีว่า สำหรับใครหลาย ๆ คน บ้านไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่พักอาศัย แต่บ้านจะต้องสะท้อนความงดงามของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณค่า เราจึงมุ่งมั่นรังสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยในแบบหนึ่งเดียวในโลกให้แก่ลูกค้าของเรา”

นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานกรรมการ บริษัท เครสตั้น โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “การผนึกกำลังระหว่างบันยันทรี กรุ๊ป และเครสตั้น โฮลดิ้ง นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีของไทย การพัฒนาโครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์​ บนผืนดินที่อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เราให้ความสำคัญสูงสุดกับการออกแบบที่สวยงามและกลมกลืนไปกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์โดยรอบ เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับบันยันทรี เครือโรงแรมระดับโลก เพื่อร่วมสร้างมาตรฐานใหม่ให้ที่อยู่อาศัยระดับมาสเตอร์พีซในเมืองไทย”

ผู้ที่ได้ครอบครองที่อยู่อาศัยในโครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ จะได้รับสิทธิประโยชน์เหนือระดับในฐานะเจ้าของผ่านโปรแกรมสมาชิกสุดเอ็กซ์คลูซีฟของเครือบันยันทรี “The Sanctuary Club” ที่มอบเอกสิทธิ์พิเศษและส่วนลดเมื่อเข้ารับบริการในเครือข่ายบันยันทรีทั่วโลก

นายสจ๊วต เรดดิ้ง กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลุ่มบริษัทบันยันทรี กล่าวว่า “โครงการ Branded Residences ในเมืองไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นที่โดยรอบอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ถือเป็นพื้นที่เปี่ยมศักยภาพ เป็นทำเลสุดไพรม์สำหรับตลาดในประเทศมาเป็นเวลาหลายปี ด้วยระยะทางที่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 200 กิโลเมตร ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสทั้งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การท่องเที่ยวแนวผจญภัย และอากาศที่บริสุทธิ์ เขาใหญ่ถือเป็นเดสติเนชันการพักผ่อนที่ช่วยให้คนไทยได้หลีกหนีความวุ่นวายของกรุงเทพฯ ตลอดเวลาที่ผ่านมา บันยันทรี ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงการคงไว้ซึ่งธรรมชาติอันงดงาม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกับพันมิตรในทุก ๆ พื้นที่ที่เราให้บริการ เรายึดมั่นในพันธกิจ 3 ประการ ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การสร้างคุณค่าให้แก่สังคม และความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม”

วิลล่าของโครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์​ มีทั้งแบบ 3 และ 4 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท มาพร้อมพื้นที่ใช้สอยภายในขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาอย่างลงตัวพร้อมลานระเบียงกว้างขวางด้านนอก ให้ผู้อยู่อาศัยได้พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น วิลล่าทุกหลังได้รับการตกแต่งอย่างครบครันและให้คุณลงทุนได้อย่างมั่นใจ ด้วยการบริหารจัดการระดับโรงแรม 5 ดาว เจ้าของวิลล่ายังได้รับการสิทธิพิเศษในการเข้าพักโรงแรมในเครือบันยันทรีทั่วโลก พูลวิลล่าได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเงียบสงบเป็นส่วนตัวเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพสูงสุดให้กับผู้พักอาศัยโดยเน้นการดีไซน์ที่เปิดรับธรรมชาติด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้หน้าต่างที่สูงโปร่งและประตูกระจกบานเลื่อน ห้องนอนทุกห้องได้รับการออกแบบให้มีสวนส่วนตัว สามารถมองเห็นพื้นที่สีเขียวภายนอกได้ทุกครั้งที่พักผ่อนอยู่ภายใน การออกแบบภายในวิลล่าใช้โทนสีที่เข้ากันกับผืนป่าและทิวทัศน์หุบเขาอันเงียบสงบด้านนอก

 

ขณะที่คอนโดมิเนียมมอบความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัย ที่สุดแห่งการพักผ่อนด้วยทิวทัศน์สุดตระการตาของทิวเขาและทะเลสาบแบบพาโนรามา โดยสามารถเลือกห้องชุดแบบ 1, 2 หรือ 3 ห้องนอน มีขนาดห้องตั้งแต่ 64 - 295 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 15 ล้านบาท ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ตั้งแต่สระว่ายน้ำที่ดีไซน์ให้ยื่นออกจากระเบียง พื้นที่ระเบียงกว้างขวางสำหรับห้องชุดแบบ 3 ห้องนอน ไปจนถึงสวนส่วนตัวบนดาดฟ้าสำหรับยูนิตเพนต์เฮาส์ คอนโดมิเนียมของโครงการเหมาะสำหรับเป็นบ้านพักอาศัยหรือบ้านพักตากอากาศ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมแพ็กเกจเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเสริมและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการให้เช่าและการดูแลรักษา

บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ ดีไซน์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และมอบประสบการณ์การพักอาศัยอันเป็นนิยามใหม่แห่งความหรูหรา โดย นายสจ๊วต เรดดิ้ง อธิบายว่า "เราเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ซื้อไว้ลงทุน ไว้เป็นบ้านพักอาศัยหลังที่สอง หรือบ้านพักตากอากาศ ผู้ครอบครองบ้านในโครงการของเราสามารถมั่นใจได้ในมาตรฐานสูงสุดของการอยู่อาศัยภายใต้แบรนด์บันยันทรี เรานำเสนอโครงการเปี่ยมคุณภาพเพื่อการใช้ชีวิตที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย พร้อมด้วยทีมงานที่ช่วยอำนวยความสะดวกตลอดการอยู่อาศัย ซึ่งมั่นใจได้ว่าเจ้าของโครงการจะสะดวกสบายไปกับการจัดการทรัพย์สินที่ไม่ยุ่งยากควบคู่ไปกับการดูแลโครงการเพื่อการขายต่อที่คุ้มค่าในอนาคต”

นอกจากนี้ เจ้าของโครงการจะได้เอกสิทธิ์ในการเป็นสมาชิก The Sanctuary Club ซึ่งเป็นโปรแกรมซิกเนเจอร์ที่จะมอบสิทธิประโยชน์มากมาย อาทิ ส่วนลดพิเศษสำหรับที่พักในเครือบันยันทรีทั่วโลก สิทธิ์ในการจองก่อนใคร การเช็กอินก่อนเวลา การเช็กเอาต์หลังเวลา และการรับเชิญก่อนใครผ่านโปรแกรม Xperential Guest นอกจากนี้เรายังมีทีมงานที่บริการได้ในหลายภาษา และมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับโปรเจกต์ใหม่ ๆ ก่อนใครเพื่อยกระดับการอยู่อาศัยขึ้นไปอีกขั้น บันยันทรีมุ่งมั่นที่จะผสานไลฟ์สไตล์เหนือระดับให้สอดรับกับธรรมชาติอันงดงามของแต่ละพื้นที่

จุดเด่นของโครงการแห่งนี้ คือทำเลที่ตั้งที่โอบล้อมด้วยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่อันสวยงาม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก อุทยานฯ เป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าและป่าฝนอันอุดมสมบูรณ์กว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดและกิจกรรมแนวผจญภัยอันน่าตื่นเต้น สภาพอากาศโดยเฉลี่ยที่นี่มีอุณหภูมิเย็นสบายกำลังดีที่ 21°C ตลอดทั้งปี และจะอุ่นขึ้นเล็กน้อยประมาณ 26-27°C ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่เดือนธันวาคมและมกราคมอาจมีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 10°C ในบริเวณใกล้เคียงมีสนามกอล์ฟให้บริการอยู่สี่แห่งสำหรับผู้ที่รักการเล่นกอล์ฟ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ มากมายให้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่าในเส้นทางอุทยานแห่งชาติ การชมนกหลายสายพันธุ์ หรือจะแวะเวียนไปนั่งคาเฟ่เก๋ ๆ ออกกำลังกายสนุก ๆ ด้วย การเล่นแพดเดิลบอร์ดแบบยืน หรือพายเรือคายัคบนทะเลสาบเครสตัน ฮิลล์ ทั้งหมดนี้ทำได้ที่โครงการฯ ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 200 กิโลเมตร

โครงการแห่งนี้มีโครงสร้างพื้นฐานครบครัน ทั้งระบบไฟฟ้าใต้ดิน ระบบน้ำประปา ถนน การระบายน้ำ และกล้องวงจรปิด ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมทั้งยังตั้งอยู่ติดกับชุมชนที่มีรั้วรอบขอบชิดอันหรูหราของโครงการบ้าน Creston Hill ด้านทำเลของโครงการยังเดินทางสะดวกด้วยทางด่วนมอเตอร์เวย์สายใหม่ที่ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ ได้อย่างมาก พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และผู้ที่กำลังมองหาบ้านพักอาศัยหรือบ้านพักตากอากาศ

บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ ตั้งเป้าผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวไทย รองลงมาเป็นชาวต่างชาติเพราะเขาใหญ่เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะเดสติเนชันการพักผ่อนระดับโลก ทั้งยังสอดคล้องกับแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในปี 2566 โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการขยายตัวของเขตเมืองที่เพิ่มขึ้น ตามการคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน 6 จังหวัดหลัก รวมถึงนครราชสีมาซึ่งเป็นที่ตั้งของเขาใหญ่จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นช่วงปี 2566-2568 ด้วยปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะกลับมามีจำนวนเท่าช่วงก่อนโควิด-19 ภายในปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์นครราชสีมาและเขาใหญ่ได้รับแรงหนุนจากบทบาทในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนนมอเตอร์เวย์และเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่จะนำไปสู่การเพิ่มยอดขายบ้านพักตากอากาศในอนาคต

โครงการระดับมาสเตอร์พีซแห่งนี้ไม่ได้มอบเพียงที่พักอาศัย แต่ยังมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์อันสมบูรณ์แบบที่ผสมผสานที่สุดแห่งความหรูหรา ธรรมชาติอันงดงาม และชีวิตที่สมดุลลงตัว ด้วยทำเลที่ตั้งใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่สวยงาม ผนวกกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยอดเยี่ยม โครงการจึงได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้ประเทศไทย ทั้งในวงการอสังหาฯ​ และธุรกิจบริการ การเปิดตัวโครงการในปีนี้นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ด้วยเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยและแนวโน้มของตลาดตอนนี้ โครงการนี้มอบโอกาสในการลงทุนที่ยอดเยี่ยมภายใต้การพัฒนาและบริหารจัดการโดยสองแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรม ในช่วงเวลาที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยเติบโตขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง บันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ จึงถือเป็นโปรเจกต์สำคัญของวงการอสังหาฯ​ ไทย

"เราไม่ได้นำเสนอแค่ที่อยู่อาศัยที่หรูหราเท่านั้น แต่เรายังมอบโอกาสในการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต โครงการของเราสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ และการใช้ชีวิตที่เปี่ยมความหมายท่ามกลางธรรมชาติ" นายชยดิฐ กล่าวทิ้งท้าย

แห่ลงทุนไทย คาดอนาคตไทยจะเป็น HUB ที่ชัดเจนมากขึ้น ส่งผลทุกสถานประกอบการมีความต้องการบุคลากรที่มี Skill ภาษาที่ 3 เป็นจำนวนมาก

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) นำทัพสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีการท่องเที่ยวผนึกความร่วมมือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในไทย และเวนเจอร์แคปิทัล ชั้นนำของไทย จัด ฟอรั่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum” เดินหน้าลงนามข้อตกลงทางธุรกิจ ผลักดัน Smart Tourism ของเกาหลี เตรียมพร้อมขยายฐานการท่องเที่ยวเกาหลีสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายเจมส์ ลี รองประธาน องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเกาหลี-ไทย KTO จึงร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว  แห่งประเทศไทย (ททท.) และอินโนสเปซ ไทยแลนด์ จัด Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และสร้างฐาน นวัตกรรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผ่านความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว และสตาร์ตอัป

Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งหลังจาก KTO ได้ร่วมกับ ททท. กำหนดให้ปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างเกาหลีและไทย เพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศก้าวเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวระดับโลก และนำไปสู่การส่งเสริมยูนิคอร์นด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมกันจัดงาน Korea Everywhere มหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลีครั้งยิ่งใหญ่ที่ประเทศไทย เพื่อฉลองปีแห่งการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย โดยชวนคนไทยมาอัปเดตสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ในเกาหลีผ่านโลก Metaverse ในแอปพลิเคชัน Zepeto

สำหรับไฮไลต์สำคัญในงาน Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum คือ การลงนามข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเกาหลีและไทย ได้แก่ ข้อตกลงทางธุรกิจสำหรับนวัตกรรมดิจิทัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย ระหว่าง Yanolja สตาร์อัปแพลทฟอร์มด้านการท่องเที่ยวของเกาหลี และสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว และข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเกาหลีผ่านช่องทรู และไลฟ์คอมเมิร์ส ระหว่าง LaLa Station แพลทฟอร์มด้านไลฟ์คอมเมิร์สและอีคอมเมิร์ส และทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อช่วยในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวและบริการ เช่นการจัดกระบวนการทางธุรกิจของโรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่นการจัดการห้องพัก การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า บริการช่วยทำการตลาด ขยายต่อสู่อีคอมเมิร์ซสำหรับการท่องเที่ยว เป็นต้น รวมไปถึง พัฒนาระบบซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์บนคลาวด์เพื่อช่วยการจัดกระบวนการทางธุรกิจของโรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่นการวิเคราะห์บิ๊กดาต้า

“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็ว เราเล็งเห็นว่าการระดมทุน และหาพันธมิตรเป็นสิ่งจำเป็น การจัดทำข้อตกลงทางธุรกิจครั้งนี้นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดัน การท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ของเกาหลีให้เติบโต และเรายังวางแผนที่จะร่วมมือกับผู้ประกอบ   การท่องเที่ยว และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก” นายเจมส์ ลี กล่าว

นอกจากการลงนามข้อตกลงทางธุรกิจแล้ว ภายในงานฟอรั่มยังได้จัดกิจกรรม K-Tourism Startup IR เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปเกาหลีได้เจรจาหาผู้ร่วมทุน สร้างเครือข่ายธุรกิจ ขยายฐานลูกค้าด้าน Smart Tourism โดยมีสตาร์ตอัปจากเกาหลี และนักลงทุนจากไทย เช่น CP Group และ K-Bank รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาร่วมงาน เช่น ททท. และสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว

“การที่องค์กรยักษ์ใหญ่ของไทยมาร่วมกิจกรรม K-Tourism Startup IR เป็นบทพิสูจน์ว่าองค์กรด้านเทคโนโลยี และสตาร์ตอัปด้านการท่องเที่ยวของเกาหลี มีความน่าสนใจ ซึ่งสตาร์ตอัปบางรายได้มีการเจรจาเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกันแล้ว งานนี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้สตาร์ตอัปเกาหลี จากที่เคยเป็นเพียงธุรกิจในประเทศ ปัจจุบันสามารถขยายธุรกิจไปต่างประเทศได้ และยังคาดว่าผู้ประกอบการท่องเที่ยวของเกาหลีจะสามารถเติบโตเป็นบริษัทระดับโลกได้ในอนาคต” นายเจมส์ ลี กล่าว

นายเจมส์ ลี กล่าวเพิ่มเติมถึงการท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ว่า เป็นเทรนด์การท่องเที่ยวมิติใหม่ที่เกาหลีพัฒนาขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้บริการด้านการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี

สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวเกาหลีในปัจจุบันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลวันที่ 25 กันยายน 2566 พบว่าตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงเดือนกันยายนมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกาหลีแล้ว 7.49 ล้านคน เพิ่มขึ้น 60% จากปี 2562 โดยเป็นนักท่องเที่ยวไทยประมาณ 260,000 คน โดยมี อัตรา การฟื้นตัว 69% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งถือว่าอยู่ในเชิงบวก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปีนี้ ได้แก่ หอคอยนัมซานในกรุงโซล ป้อมปราการฮวาซองในเมืองซู วอน จังหวัดคยองกี เกาะนามิในจังหวัดคังวอน หมู่บ้านฮันอกในจอนจู และสวนสนุกแทจงแดในพูซาน

“เรามีแผนที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเกาหลีให้มากที่สุด เราตั้งเป้าที่จะขยายฐานการท่องเที่ยวเกาหลีสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำหนดให้ปีนี้และปีหน้าเป็น "ปีแห่งการมาเยือนเกาหลี" และได้จัดแคมเปญ "100 กิจกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี" ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเกาหลี โดยตั้งเป้าว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเกาหลี 10 ล้านคน ส่วนในปี 2567 คาดว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวเต็มที่ กลับไปสู่สภาวะก่อนเกิดโควิด  ซึ่งมีนักเที่ยวอยู่ที่ 17.5 ล้านคนต่อปี” นายเจมส์ ลี กล่าว

กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง นำโดย นายวิน พรหมแพทย์ (กลาง) CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเวทีสัมมนาเพื่ออัปเดตสถานการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจโลก พร้อมชี้โอกาสในการต่อยอดความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศให้กับกลุ่มลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง เมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงแรม เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ในหัวข้อ Global Fixed Income Outlook - Bonds are Back? โดยได้รับเกียรติจาก Ms. Tina Adatia (ซ้าย) Executive Vice President, Fixed Income Strategist of PIMCO และ Ms. Clara Ng (ขวา) Vice President, Account Manager of PIMCO มาร่วมแบ่งปันมุมมองการลงทุน พร้อมเจาะลึกสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารต่างประเทศทั่วโลก

โดยความเห็นส่วนหนึ่งของ Ms. Tina Adatia ระบุว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตามอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย PIMCO มองว่าเฟดน่าจะใกล้ยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่จะยังคงตรึงไว้ในกรอบเดิมสักระยะหนึ่งเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า สำหรับตลาดตราสารหนี้ มีการปรับขึ้น Yield ครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันตราสารหนี้สามารถให้อัตราผลตอบแทนที่เทียบเท่ากับตราสารทุนที่ 5-7% โดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงที่สูงจนเกินไป เราจึงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าสะสมตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนที่มีคุณภาพสูง และลงทุนในจังหวะช่วงที่เฟดใกล้จะยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้ว

ปูนลูกดิ่ง และปูนจิงโจ้ โดยบริษัท ควิกโคท โปรดักส์ จำกัด ไม่นิ่งนอนใจ

X

Right Click

No right click