สรุปข้อมูลเชิงลึกจากรายงาน Work Trend Index ฉบับปี 2023 ที่เจาะลึกมุมมองพนักงานและผู้บริหาร พร้อมขยายบริการ Microsoft 365 Copilot ให้ลูกค้ามากขึ้น

เอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) จับมือ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ร่วมกันศึกษาและพัฒนา WangChanGLM (วังช้างแอลเอ็ม) โมเดลภาษาที่เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยและสามารถรองรับภาษาอื่นๆ ได้ในรูปแบบ Generative AI และ Large Language Model ภายใต้ใบอนุญาตเชิงพาณิชย์ ด้วยจุดเด่นในการสรุปเนื้อหา คิดไอเดีย และเขียนบทความภาษาไทย ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้อย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ WangChanGLM เปิดให้ทดลองใช้และเสนอแนะความคิดเห็นเพื่อพัฒนาประสบการณ์ใช้งานโมเดลแล้ววันนี้ที่ https://www.wangchanglm.in.th โดยได้รับเกียรติจาก ดร. ไพรินทร์ ชูโชติถาวร (กลาง) นายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี พร้อมด้วย รศ.ดร.สรณะ นุชอนงค์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิสัย เอไอ จำกัด และคณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) และนายกสิมะ ธารพิพิธชัย (ซ้าย) Entrepreneur in Residence บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) ร่วมงานเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี

รศ.ดร.สรณะ นุชอนงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิสัย เอไอ จำกัด และ และคณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) กล่าวว่า “สถาบันวิทยสิริเมธี หรือ VISTEC เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย (Research University) มุ่งเน้นงานวิจัยระดับแนวหน้าด้านวิทยาศาสตร์

เทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับชั้นนำของโลก เปรียบเสมือนเมืองแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม เราให้ความสำคัญในการผลิตงานวิจัยด้านเทคโนโลยีระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์คุณภาพสูง เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจได้ เราจึงได้สร้างและพัฒนา WangChanGLM (วังช้างแอลเอ็ม) AI ด้านโมเดลภาษาที่เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยและสามารถรองรับภาษาอื่นๆ ได้ในรูปแบบ Generative AI และ Large Language Model ภายใต้ใบอนุญาตเชิงพาณิชย์ขึ้นมา โดยเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ SCB 10X เข้ามาช่วยในการศึกษาและพัฒนา Demo Interface WangChanGLM ให้สามารถเข้าถึงภาคธุรกิจได้ง่ายขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์โดยคนไทยอีกด้วย”

ด้าน นายกสิมะ ธารพิพิธชัย Entrepreneur in Residence บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กล่าวว่า “SCB 10X เล็งเห็นถึงศักยภาพมหาศาลของเทคโนโลยี AI ในการรับมือกับความท้าทายทางการเงินทั่วโลก นอกเหนือจากภาคธุรกิจการเงินและธนาคาร เรายังให้ความสำคัญกับภาษา วัฒนธรรม และมรดกของไทย เป็นลำดับแรกๆ การร่วมมือกับ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ในการเปิดตัว Public Demo ของ WangChanGLM (วังช้างแอลเอ็ม) โดย SCB 10X ได้เข้าส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนา Web Application ที่ง่ายต่อการใช้งานและมีเทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยจุดเด่นในการสรุปเนื้อหา คิดไอเดีย และเขียนบทความภาษาไทยเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการปิดช่องว่างทางภาษาที่ส่วนใหญ่การวิจัย AI จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้อย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ โดยความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ SCB 10X ที่มุ่งเน้นสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผ่านการลงทุน และร่วมสร้างสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง ในกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งโลกอนาคต ที่จะนำมาซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีการเงินและการธนาคาร ในมีประสิทธิภาพที่ดีต่อไป”

นอกจากนี้ SCB 10X ยังได้ลงทุนรอบ Pre-Series A ใน วิสัย (VISAI) ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ครบวงจรสำหรับภาคธุรกิจ โดยในรอบนี้ได้ลงทุนร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์คุณภาพสูง และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์โดยคนไทย ผ่าน 3 บริการหลัก คือ AI Cloud Platform บริการโมเดลปัญญาประดิษฐ์คุณภาพสูงบนระบบคลาวด์ AI Solutions บริการให้คำปรึกษาและออกแบบปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ในธุรกิจ และ AI Training บริการจัดอบรมความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์และวิทยาศาสตร์ข้อมูลให้ธุรกิจและองค์กร

WangChanGLM (วังช้างแอลเอ็ม) โมเดลภาษาที่เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยและสามารถรองรับภาษาอื่นๆ ได้ในรูปแบบ Generative AI และ Large Language Model ภายใต้ใบอนุญาตเชิงพาณิชย์ ใช้โมเดล XGLM ขนาด 7.5 พันล้านพารามิเตอร์จาก Meta โดยเปิดชุดข้อมูลและโมเดลแบบสาธารณะ (open source) ที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมดบน GitHub และ Google Colab เพื่อให้นักพัฒนาสามารถนำไปใช้ต่อยอดและเทรนโมเดลได้ด้วยตนเอง พร้อมเปิดให้ผู้ที่สนใจทดลองใช้งานและเสนอแนะความคิดเห็นเพื่อพัฒนาโมเดลแล้ววันนี้ที่ https://www.wangchanglm.in.th

 SAP SE (NYSE: SAP) และ Google Cloud ได้ประกาศการขยายความร่วมมืออย่างกว้างขวาง โดยการเปิดตัวข้อเสนอข้อมูลแบบเปิดที่ครอบคลุม ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของภูมิทัศน์ข้อมูลและปลดปล่อยพลังของข้อมูลธุรกิจ ข้อเสนอนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างระบบคลาวด์ดาต้าแบบ end-to-end ที่ข้อมูลถูกดึงมาใช้ได้จากทั่วทั้งองค์กร โดยใช้โซลูชัน SAP® Datasphere ร่วมกับระบบคลาวด์ดาต้าของ Google ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ สามารถตรวจดูพื้นที่ข้อมูลทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์ และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดจากการลงทุนในซอฟต์แวร์ Google Cloud และ SAP ของพวกเขา

ข้อมูลเป็นรากฐานที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ ใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการสร้างศูนย์รวมรวมข้อมูลที่ซับซ้อน เครื่องมือวิเคราะห์แบบกำหนดได้เอง รวมถึง Generative AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มตระหนักถึงความคุ้มค่าจากการลงทุนด้านข้อมูลเหล่านั้น ในขณะที่ข้อมูลที่มาจาก ระบบ SAP โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร และสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างข้อมูลด้านซัพพลายเชน การพยากรณ์ทางการเงิน การบันทึกทรัพยากรบุคคล ข้อมูลระบบ Omnichannel Retail และอื่น ๆ ได้ โดย SAP Datasphere จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญต่อภารกิจเหล่านี้ เข้ากับข้อมูลทั่วทั้งองค์กร จากหลากหลายแหล่งที่มา ซึ่งความสามารถในการรวมข้อมูลทั้งจากซอฟต์แวร์ SAP และที่ไม่ใช่มาจาก SAP (มาจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ) ไว้บน Google Cloud ได้อย่างง่ายดายนั้น ย่อมหมายความว่าองค์กรต่างๆ สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วด้วยรากฐานข้อมูลที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ และยังคงรักษาบริบททางธุรกิจที่ครบถ้วนไว้ได้

 

Christian Klein ซีอีโอและคณะกรรมการบริหารของ SAP SE

Christian Klein ซีอีโอและคณะกรรมการบริหารของ SAP SE กล่าวว่า "การนำระบบและข้อมูลของ SAP มารวมกับข้อมูลในคลาวด์ของ Google ได้นำเสนอโอกาสใหม่สำหรับองค์กรต่างๆ ให้ได้รับคุณค่าที่มากขึ้นจากดาต้าฟุตปริ้นท์ทั้งหมด โดย SAP และ Google Cloud มีความมุ่งมั่นร่วมกันต่อข้อมูลแบบเปิด และการเป็นพันธมิตรของเราก็ได้ขยายออกไปเพื่อช่วยทลายกำแพงกั้นระหว่างข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในระบบ ฐานข้อมูล และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ลูกค้าของเราไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จาก AI ของธุรกิจที่สร้างไว้ในระบบของเราเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์จากรากฐานข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวด้วย"

 

Thomas Kurian, ซีอีโอของ Google Cloud

Thomas Kurian, ซีอีโอของ Google Cloud กล่าวว่า "ตอนนี้ SAP และ Google Cloud นำเสนอระบบคลาวด์ข้อมูลแบบเปิดที่ครอบคลุมอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับอนาคต AI ขององค์กร. แหล่งทรัพยากรเพียงบางแห่งอาจสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลพอ ๆ กับข้อมูล แต่ด้วยการผสานรวมข้อมูลและระบบ SAP เข้ากับคลาวด์ข้อมูลของเราอย่างลึกซึ้ง ลูกค้าจะสามารถใช้งานความสามารถในการวิเคราะห์ของเราได้เช่นเดียวกับเครื่องมือ AI ขั้นสูงและ โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกใหม่จากข้อมูลของพวกเขา" องค์กรต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Blue Bird Group, JB Cocoa, Kopi Kenangan, Link Net, NTUC Enterprise, Ocean Network Express, Siam Cement Group (SCG) และ Vingroup เป็นต้น ได้ใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของ Google Cloud และ SAP เสนอเพื่อช่วยให้พวกเขาดำเนินธุรกิจอย่างชาญฉลาดและยั่งยืนมากขึ้น และบรรลุผลลัพธ์ที่มีผลกระทบ ข้อเสนอข้อมูลแบบเปิด ใหม่จาก SAP และ Google Cloud ช่วยส่งเสริมโซลูชัน RISE with SAP และจะช่วยให้ลูกค้าสามารถ: · เข้าถึงข้อมูลสำคัญทางธุรกิจแบบเรียลไทม์: การผสานรวมระหว่าง SAP Datasphere และ Google Cloud BigQuery ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญที่สุดได้อย่างง่ายดายแบบเรียลไทม์โดยไม่มีข้อมูลซ้ำซ้อน ข้อเสนอร่วมนี้สามารถรวมข้อมูลจาก ระบบซอฟต์แวร์ SAP เช่น SAP S/4HANA® และ SAP HANA® Cloud ทำให้องค์กรต่างๆ มีมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญที่สุดของตนบนคลาวด์ดาต้าของ Google

· ลดความซับซ้อนของภูมิทัศน์ข้อมูล: SAP และ Google Cloud ได้ร่วมกันสร้างวิศวกรรมการจำลองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการรวมศูนย์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถรวมข้อมูลจากซอฟต์แวร์ SAP เข้ากับ สภาพแวดล้อม BigQuery ได้อย่างง่ายดาย และใช้ประโยชน์จากความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำของ SAP และ Google Cloud ปัจจุบันนี้ ลูกค้าสามารถรวมข้อความค้นหาระหว่าง SAP Datasphere และ BigQuery เพื่อผสมผสานข้อมูลจาก ซอฟต์แวร์ SAP และ ที่ไม่ใช่ของ SAP ซึ่งช่วยขจัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทั่วไปจากแหล่งที่มาที่ครอบคลุมทั้งด้านการตลาด การขาย การเงิน ห่วงโซ่อุปทาน และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่ทำธุรกิจค้าส่ง สามารถเห็นผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างสมบูรณ์ขณะที่พวกเขากำลังดำเนินการจำหน่ายสินค้าและเข้าถึงลูกค้า

· สร้างข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อถือได้ด้วย โมเดล AI และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) ขั้นสูงของ Google Cloud: ธุรกิจต่างๆ จะสามารถใช้ บริการ AI และ ML ของ Google Cloud เพื่อฝึกโมเดลบนข้อมูลทั้งจาก ระบบ SAP และ ไม่ได้มาจาก SAP · ทำการวิเคราะห์ขั้นสูง: องค์กรสามารถใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ของโซลูชัน SAP Analytics Cloud ใน Google Cloud เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางการเงินและธุรกิจ พร้อมปรับปรุงความแม่นยำของโมเดล ด้วยการผสานรวมกับข้อมูลใน BigQuery ด้วย SAP Datasphere ลูกค้าสามารถวางแผนด้วยมุมมองเดียวที่ครอบคลุมธุรกิจของตน

· ใช้โซลูชันร่วมกันเพื่อความยั่งยืน: SAP และ Google Cloud กำลังค้นหาแนวทางที่จะรวม SAP Datasphere เข้ากับ ชุดข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กว้างขึ้น รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนโดย Google Cloud เพื่อเร่งการเดินทางสู่ความยั่งยืนด้วยข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง

· ใช้ SAP Business Technology Platform (SAP BTP) บนระบบ Google Cloud ทั่วโลก: SAP จะพัฒนาข้อเสนอมัลติคลาวด์โดยขยายการรองรับ SAP BTP และ SAP HANA Cloud บน Google Cloud ระดับภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการสนับสนุน SAP Analytics Cloud และ SAP Datasphere SAP และ Google Cloud ตั้งใจที่จะเปิดตัว SAP BTP ใน 5 ภูมิภาคใหม่ในปีนี้ รวมถึงจะเพิ่มการรองรับเป็น 8 ภูมิภาคภายในปี 2568

ทั้งสองบริษัทยังวางแผนเป็นพันธมิตรกันในการริเริ่มเข้าสู่ตลาดสำหรับโครงการข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร ทำให้ลูกค้าสามารถนำผลิตภัณฑ์ข้อมูลจากทั้ง SAP และ Google Cloud มาใช้ได้

บิสกิต โซลูชั่น แนะองค์กรนำ AI ช่วยจัดการธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ 5 ด้าน วิจัยการตลาด ประหยัดงบโฆษณา ปั้นแคมเปญให้ปัง โต้ตอบลูกค้า 24 ชม. ช่วยเพิ่มกำไร ชี้ปรับใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม

อาทิ ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว และบริการ หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนอุตสาหกรรมร้านอาหาร คว้าโอกาสเติบโตยุคธุรกิจร้านอาหารมาแรง เป็นธุรกิจด่านหน้าที่ได้รับปัจจัยบวกจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อนได้ตามปกติ รวมถึงการท่องเที่ยวฟื้นตัว เทรนด์ผู้บริโภคโหยหาชีวิตนอกบ้าน คาดธุรกิจร้านอาหารเติบโตสูงถึง 4.5% ในปี 2566 นี้

นายสุทธิพันธุ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิสกิต โซลูชั่น จำกัด หรือ BIZCUIT Solution เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยี AI สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึงธุรกิจร้านอาหารที่กำลังฟื้นตัวเติบโต จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดธุรกิจร้านอาหารปีนี้จะมีมูลค่าราว 4.18 - 4.25 แสนล้านบาท หรือโต 2.7% - 4.5% เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจด่านหน้าที่ได้รับปัจจัยบวกจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศที่ขับเคลื่อนได้ตามปกติ กำลังซื้อเริ่มดีขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว บวกกับพฤติกรรมโหยหาการใช้ชีวิตนอกบ้านของผู้บริโภค ที่ต้องการออกไปนั่งรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือแฮงค์เอาท์ สังสรรค์กับเพื่อนและคนในครอบครัวมากขึ้น ประกอบกับคนรุ่นใหม่ สนใจประกอบธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น เนื่องจากมีธุรกิจร้านอาหารประสบผลสำเร็จเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรม ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว และบริการ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการหลังการขาย ธุรกิจประกัน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ ที่สามารถนำเอาเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานธุรกิจในทุกกระบวนการทำงาน ทั้งในด้านของการบริหารต้นทุนที่แม่นยำ มีกำไรมากขึ้น การนำหุ่นยนต์หรือเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทำแทนแรงงานที่ขาดแคลน รวมไปถึงการนำมาช่วยวิเคราะห์แคมเปญทางการตลาด ช่วยผสานการขายและให้บริการ ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้าน หรือธุรกิจที่เน้นบริการหลังการขาย เพิ่มการยอดขายและช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี รักษาฐานลูกค้าเดิม และเพิ่มโอกาสในการสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยสามารถนำเทคโนโลยี AI เข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ 5 ด้านได้แก่

1. วิจัยทางการตลาด สามารถรวบรวมความพึงพอใจลูกค้าได้อย่างรวดเร็วจากลูกค้าที่มาใช้บริการจริง ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่า แทนการทำการวิจัยที่ใช้แบบสอบถามแบบเดิม ซึ่งใช้เวลาเก็บรวบรวมข้อมูล ไม่อัปเดตกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ทั้งยังใช้งบประมาณสูง

2. ด้านการวางงบโฆษณา ประหยัดงบ กำหนดกลุ่มเป้าหมายแม่นยำขึ้น ทำให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่าสื่อโฆษณาในช่องทางต่าง ๆ ที่ลงทุนไป สร้างยอดขายจริงกลับมาเท่าไหร่ ด้วยการสกัดข้อมูล แยกกลุ่มเซ็กเมนท์ (Segment) วางแผนการบริหารงบประมาณโฆษณาบนช่องทางออนไลน์ไปแต่ละกลุ่มได้แม่นยำ ลดความสิ้นเปลืองในการทุ่มงบยิงโฆษณาหว่านแบบเดิม ๆ

3. ปั้นแคมเปญการตลาดให้ปัง มีประสิทธิภาพ โดยการนำเอาข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า มาพัฒนาต่อยอดเป็นแคมเปญกระตุ้นยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถวัดผลได้

4. ให้บริการโต้ตอบลูกค้า 24 ชั่วโมง เพื่อรับรู้บริบทลูกค้าที่มีต่อร้านค้า กล่าวขอโทษเมื่อลูกค้าไม่พอใจ กล่าวขอบคุณหรือให้สิทธิพิเศษต่อลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ต่อติดกับลูกค้าอยู่เสมอ ตอบสนองได้รวดเร็วสอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล

5. สร้างคลังข้อมูล เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และยังช่วยให้ AI เกิดการเรียนรู้ขั้นสูงสุดเกี่ยวกับธุรกิจหรือรูปแบบการขายข้ามสายที่ซับซ้อนมาก ไปพร้อมกับการเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า

อย่างไรก็ดี BIZCUIT ได้พัฒนา Fulloop ให้การเป็น MarTech สำหรับธุรกิจ โดยใช้ AI ที่มีความฉลาดด้านภาษาไทยมากที่สุด โดยสามารถวิเคราะห์ไปถึงเจตนาของความเห็นและข้อความ ในทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เนื่องจากพัฒนาโดยคนไทยที่มีความสามารถด้านการบริหารประสบการณ์ลูกค้า ปัจจุบันมีลูกค้าเชนร้านอาหารชั้นนำ อาทิ ซานตาเฟ่ เหมงนัวร์นัวร์ ซูชิเซนกิ ใช้บริการ รวมไปถึงในธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ ปัจจุบันมีลูกค้าเชนร้านอาหารชั้นนำ อาทิ ซานตาเฟ่ เหมงนัวนัว ซูชิเซกิ ใช้บริการ รวมไปถึงในธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ อาทิ Studio7, IndexLivingmall, Jubilee, ทีวีไดเร็ค(TVD) โดย Fulloop สามารถนำไปใช้ได้กับธุรกิจได้ทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ด้วยจุดแข็งที่ใช้งบประมาณน้อย AI เข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี นำข้อมูลประสบการณ์ลูกค้าไปต่อยอดด้านการตลาด การขาย และบริการหลังการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

MGID แพลตฟอร์มโฆษณาระดับโลก ได้ประกาศการพัฒนา และการประสานรวมปัญญาประดิษฐ์ แบบรู้สร้าง (generative artificial intelligence)

X

Right Click

No right click