ตอกย้ำดีมานด์ Branded Residence ระดับลักชัวรีในไทยแข็งแกร่ง

มุ่งสู่องค์กรคล่องตัว-เปิดพื้นที่ปล่อยแสง-เสิร์ฟโซลูชันลูกค้าฉับไวยิ่งขึ้น

เอปสัน ประเทศไทย ฝ่ากระแสเศรษฐกิจโตเกือบยกพอร์ต เผยรายได้ประมาณการโต 8% สวนทางตลาดไอทีขาลง พร้อมประกาศเปิดตัวโซลูชั่นเซ็นเตอร์รวมนวัตกรรมใหม่มุ่งสร้างความยั่งยืนเพื่อองค์ธุรกิจฉลองครบรอบ 33 ปีก่อตั้งบริษัท

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า 2566 เป็นปีที่ท้าทาย แต่ได้พิสูจน์ว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์ที่ถูกต้องและอยู่นำหน้าตลาด เพราะในขณะที่ตลาดไอทีเติบโตลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 ยอดขายประมาณการทั้งปีของเอปสันกลับโตสวนทางเพิ่มขึ้น 8% โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เพียงปรับโฟกัสธุรกิจมาที่ตลาด B2B ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทำให้ได้รับผลกระทบไม่มากนักจากความผันผวนที่มีในตลาด B2C ทั้งยังเดินหน้าเพิ่มไลน์อัพสินค้าและสร้าง S-curve ใหม่อยู่เสมอ โดยนำนวัตกรรมใหม่ของเอปสันเองเข้ามาเปิดตลาด สร้างฐานลูกค้าใหม่ พร้อมกับช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากเทคโนโลยีและแบรนด์คู่แข่ง ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงการสร้างรายได้จากสินค้าเดิมหรือสินค้าเพียงกลุ่มเดียว และที่สำคัญ การที่เอปสันยึดโยงในคุณค่าของความยั่งยืนตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ในวันนี้ เอปสันกลายเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ลูกค้านึกถึงก่อน เมื่อมองหาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับกลุ่มสินค้าของเอปสันที่ทำยอดขายได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา Epson SureColor S-series ที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 37% เป็นผลจากการที่บริษัทฯ สามารถดึงผู้ประกอบการที่เคยใช้เครื่อง Non-brand ที่มีข้อจำกัดในเรื่องเทคโนโลยี คุณภาพ และการบริการ มาใช้เครื่องเอปสันได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสำหรับเครื่องแบรนด์เนมที่ได้รับความนิยมในวงการพิมพ์ป้ายปัจจุบัน เอปสันถือว่าเป็นแบรนด์ Top of Mind ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากการจัดกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นพิเศษที่เพิ่มขึ้นของศูนย์การค้าและโรงแรมต่างๆ บวกกับปัจจัยด้านการท่องเที่ยว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ และการเลือกตั้ง 66 ที่ทำให้สื่อโฆษณานอกบ้านและสื่อเคลื่อนที่เติบโตขึ้น

ต่อมาคือสแกนเนอร์ ที่เติบโตขึ้น 37% ซึ่งได้รับอานิสงค์จากการที่ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ ทำให้หน่วยงานราชการหลายแห่งจำเป็นต้องทำเอกสารดิจิทัล เพื่อให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงธนาคาร ห้องสมุด และสถาบันศึกษาที่ต้องการเก็บข้อมูลถาวรในรูปแบบดิจิทัล และองค์กรธุรกิจที่เริ่มทำงานผ่านระบบเครือข่ายมากขึ้น

ตามมาด้วย เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร Epson WorkForce ที่โตเกือบ 30% ยืนยันถึงความสำเร็จของบริษัทฯ ในการชิงส่วนแบ่งตลาดจากเครื่องถ่ายเอกสารตามสำนักงานที่เคยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ ที่ผ่านมา เอปสันเน้นให้ความรู้กับผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องถึงข้อได้เปรียบและประโยชน์ที่หัวพิมพ์อิงค์เจ็ท PrecisionCore Heat-Free Technology ที่ไม่ใช้ความร้อนในการพิมพ์ กินไฟน้อย บำรุงรักษาง่าย เพราะใช้ชิ้นส่วนประกอบน้อย และปลอดภัยจากฝุ่นผงหมึก อีกทั้งเอปสันยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกรูปแบบในการเป็นเจ้าของเครื่องพิมพ์เอปสัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาด เช่าเครื่อง คิดค่าบริการต่อแผ่น หรือเหมาจ่ายรายเดือน

ส่วนโปรเจคเตอร์ โดยรวมมีการเติบโตได้ดี เพิ่มขึ้นเกือบ 20% ซึ่งมาจากกลุ่มเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง  เช่น รุ่นที่มีความสว่างตั้งแต่ 5,000 ลูเมนขึ้นไปและสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ และเลเซอร์โปรเจคเตอร์เพื่อธุรกิจ เช่น Epson 2000-series โดยที่เอปสันมีการออกสินค้าใหม่มากที่สุดและทำการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ขณะที่แบรนด์คู่แข่งบางรายกลับหยุดหรือชะลอการทำตลาด

อีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่แสดงถึงการเติบโตอย่างมีนัยยะ คือเครื่องพิมพ์มินิแล็บ Epson SureLab ที่โตขึ้นในปีนี้เกือบ 10% บ่งบอกถึงการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ของธุรกิจรับพิมพ์ภาพขนาดย่อมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศมาตั้งแต่หลังโควิด ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากกระแสการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้เกิดกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้น อัตราการพิมพ์ภาพก็มากขึ้นตาม จนนำไปสู่การลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์เพิ่มของกลุ่ม Startup และ SME

สำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดปี 2566 มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในด้านราคา เพื่อจูงใจผู้บริโภค แต่เอปสันยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ไว้ได้ที่สัดส่วน 57% เมื่อธันวาคมที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มเครื่องพิมพ์สิ่งทอ Epson SureColor F-series ไม่แสดงการเติบโต เช่นเดียวกับกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

 

นายยรรยง กล่าวถึงปี 2567 ว่าถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจในเวลานี้ยังอยู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น และปัญหาหนี้เสียคงค้างของสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่อาจส่งผลถึงการจับจ่ายของประชาชน และการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคซึ่งมีผลต่อราคาน้ำมันโลก แต่ เอปสัน ประเทศไทย ยังเชื่อมั่นในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ว่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวและมีเสถียรภาพอย่างแน่นอน โดยเอปสันเองตั้งเป้าที่จะรักษาระดับการเติบโตให้ไม่ต่ำกว่าปีนี้ โดยจะมุ่งลงทุนในจุดแข็งทั้ง 5 ด้านของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ ได้แก่ S-curve strategy, Sales model, Service excellence, Solution center และ Sustainable value

การที่เอปสันไม่หยุดที่จะมองหาและสร้าง S-curve ใหม่ ช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตก้าวหน้าได้อยู่เสมอ ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และสร้างความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่ง ล่าสุดบริษัทฯ เปิดตัวเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทขาวดำที่ใช้หัวพิมพ์ Heat-Free Technology ทั้งในกลุ่ม EcoTank และ WorkForce อย่างละ 2 รุ่น เพื่อมาแข่งขันกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาวดำโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นพิมพ์เอกสารขาวดำอยู่ เช่น สำนักงานบริษัท สถาบันศึกษา โรงพยาบาล เป็นต้น โดยจะเป็นกลุ่มที่ต้องการเครื่องพิมพ์ที่ให้ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นต่ำ ความเร็วระดับปานกลาง แต่สามารถรองรับงานปริมาณมากได้

สินค้าใหม่ทั้ง 4 รุ่น ประกอบด้วย เครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank M2050 ที่เป็นรุ่นมัลติฟังก์ชั่น และ Epson EcoTank M1050 ที่เป็นซิงเกิลฟังก์ชั่น มีจุดเด่นที่ราคาไม่สูง ต้นทุนการพิมพ์ต่ำ เพราะชุดหมึกความจุสูงรองรับการพิมพ์ได้มากสุดถึง 6,000 แผ่น ให้งานพิมพ์ที่คมชัดกันน้ำได้ด้วยหมึก DURAbrite ET สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Wi-Fi, Wi-Fi Direct และ Ethernet มาพร้อมกับการรับประกัน 4 ปี หรือ 50,000 แผ่น ส่วนเครื่องในกลุ่ม WorkForce ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ Epson WorkForce Pro WF-M5899 เครื่องมัลติฟังก์ชั่น และ Epson WorkForce Pro WF-M5399 เครื่องซิงเกิลฟังก์ชั่น ที่ผสานคุณค่าด้านความยั่งยืนเข้ากับประสิทธิภาพการพิมพ์ได้อย่างลงตัว
กินไฟต่ำ ขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ สามารถพิมพ์ได้เร็ว 25 ipm มาพร้อมกับฟีเจอร์มากมาย เช่น พิมพ์สองหน้าอัตโนมัติความเร็วสูง เชื่อมต่อกับคลาวด์และมือถือได้

จุดแข็งต่อมาคือ Sales Model เอปสันได้พัฒนารูปแบบการขายที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกว่าต้องการเป็นเจ้าของเครื่องพิมพ์คุณภาพสูงของเอปสันในรูปแบบใด โดยคำนึงถึงงบประมาณ ประเภทงานพิมพ์และปริมาณการใช้ในแต่ละเดือนที่ลูกค้าสามารถเป็นผู้กำหนดได้เอง เช่น รูปแบบบริการการพิมพ์แบบจ่ายรายเดือนอย่าง EasyCare ที่ลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนการพิมพ์ของตัวเองได้ ไม่ต้องสต๊อกหมึก เพราะเอปสันจะส่งหมึกให้โดยคำนวณค่าใช้จ่ายจากจำนวนพิมพ์รายแผ่น เป็นต้น

Service excellence เอปสันให้ความสำคัญกับการบริการทั้งก่อนและหลังการขายมาโดยตลอด โดยจะเห็นได้จากการที่บริษัทฯ มีการพัฒนาทีม Pre-sales สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำโซลูชั่นที่เหมาะกับองค์กรธุรกิจของลูกค้า รวมถึงพัฒนาช่องทางดิจิทัลเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังได้เพิ่มจำนวนศูนย์บริการ จนปัจจุบันมีอยู่ 182 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมี 140 แห่งที่สามารถให้บริการ onsite ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ในปีนี้ นอกจากเอปสัน ประเทศไทยจะย้ายมาที่สำนักงานใหม่บนชั้น 22 อาคารปัน (PUNN Smart Workspace) ยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 30 ล้านบาทในการสร้าง Solution Center แห่งใหม่บนพื้นที่มากกว่า 600 ตารางเมตร  เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงและสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มของเอปสัน เพื่อสร้างประสบการณ์จริงให้กับลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ทั้งยังใช้เป็นที่จัดอบรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยจะแบ่งออกเป็นโซนเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ซึ่งมีเครื่องพิมพ์สิ่งทอ เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา และเครื่องพิมพ์ภาพ ทั้งยังมีเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์แขนกล

“การลงทุนสร้างโซลูชั่นเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอปสันที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานขององค์กรธุรกิจในไทย ด้วยนวัตกรรมและโซลูชั่นที่ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มผลิตผล แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนอีกด้วย เพื่อสร้างสังคมที่ปล่อยคาร์บอนเป็นลบได้ในที่สุด ทั้งยังแสดงถึงความพยายามของบริษัทฯ ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ง่ายยิ่งขึ้น” นายยรรยง กล่าว

Sustainable Value หรือคุณค่าด้านความยั่งยืน คือดีเอ็นเอของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ที่ได้ดำเนินธุรกิจบนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาว ‘Environmental Vision 2050’ อย่างจริงจัง โดยมีวัตถุประสงค์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ในปี 2593 และหยุดการใช้พลังงานจากใต้ดิน และล่าสุด ธันวาคม 2566 บริษัทฯ ได้แถลงความสำเร็จในการเป็นบริษัทแรกในอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นที่สามารถเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนแบบ 100% ได้ตามกำหนดเวลาที่ให้คำมั่นไว้เมื่อปี 2564 ด้วยการจัดหาพลังงานหมุนเวียนเพื่อมารองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ทุกโรงงานและสำนักงานของเอปสันทั่วโลกใช้ราว 876 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ทำให้เอปสันคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้ราว 4 แสนตันในแต่ละปี นอกจากนี้ เอปสันยังจะผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตพลังงานของตัวเองมากขึ้น หรือสนับสนุนการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ผ่านโครงการความร่วมมือกับพันธมิตร ในขณะที่จะลดปริมาณการใช้พลังงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ ทั้งยังจะเดินหน้าต่อไปในขั้นตอนการหมุนเวียนทรัพยากร จนกว่าจะสามารถเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนติดลบ

สำหรับเอปสันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวและร่วมกันผลักดันให้ประเด็นความยั่งยืนกลายเป็นกระแสหลักในสังคมธุรกิจของแต่ละประเทศ ผ่านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม และกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ทั้งยังร่วมมือกับ World Wildlife Fund หรือ WWF ในการทำโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถสร้างแรงกระทบต่อสังคมวงกว้างได้ ในส่วนของเอปสัน ประเทศไทยเอง นอกจากจะให้ความรู้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับคุณค่าด้านความยั่งยืนที่มีอยู่ในเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ เช่น หัวพิมพ์ Heat-Free Technology หรือหมึก UltraChrome ก็ยังได้ทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมาตลอด โดยในปี 2566 ได้มีการทำแคมเปญ ‘33 x Trees’ เพื่อบอกถึงการก้าวเข้าสู่ปีที่ 33 ของบริษัทฯ ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยรักษาผืนป่าของไทย โดยชูประเด็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ที่สูญเสียไปจากไฟป่า ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ เพราะไม่ได้เกิดความเสียหายแค่กับทรัพยากรป่าไม้ แต่ยังทำลายคุณภาพชีวิตของผู้คนด้วยปัญหาฝุ่นควัน

แคมเปญดังกล่าวจะเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานเอปสันและครอบครัว รวมถึงสื่อมวลชนในกิจกรรมเชิงปฏิบัติต่างๆ เพื่อเรียนรู้ถึงสาเหตุการเกิดไฟป่า ปัญหาผลกระทบ แนวทางป้องกันไฟป่า และการทำงานของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า เช่นในกิจกรรม ‘เรื่องจริงของคนตีไฟ’ ที่ จ.นครราชสีมา ทั้งยังได้มีส่วนร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนาพุทธที่ถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่อดีตเพื่อใช้ความเชื่อมาหยุดปัญหาการรุกและเผาป่าไม้ อย่าง ‘พิธีบวชป่าลับแล’ ที่ จ.ราชบุรี และร่วมทำกิจกรรม ‘คาราวานสังฆทานต้นไม้’ ที่ จ.ลำปาง ที่ได้ถวายต้นกล้าสัก 333 ต้นเป็นพุทธบูชาให้แก่วัด เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์แก่วัดและชุมชนต่อไป นอกจากนี้ ยังได้เชิญตำนานนักท่องไพร อย่าง อาจารย์วัธนา บุญยัง มาทำคลิปสั้น เรื่องเล่าจากพงไพร ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของป่าที่คนรุ่นใหม่จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีกแล้ว เป็นต้น

“ในโอกาสที่เอปสัน ประเทศไทย ได้เดินทางมาถึงปีที่ 33 นี้ บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการคุณ ตัวแทนจำหน่าย พันธมิตรคู่ค้าจากทั่วประเทศ ทีมงานเอปสัน และสื่อมวลชนทุกสำนัก ที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีมาโดยตลอด การจะอยู่นำหน้าตลาด ปรับตัวให้ทันหรือก่อนการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และสามารถสร้างการเติบโตได้ในทุกปีนั้น เอปสันไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง partnership ที่ดีกับทุกคนจึงเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมากกับบริษัทฯ และจากปีนี้ไป เอปสัน ประเทศไทยจะไม่เพียงแต่มุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรม โซลูชั่น และบริการที่ดี ที่สามารถช่วยสร้างคุณค่าสูงสุดให้กับผู้บริโภคได้เท่านั้น แต่จะขอมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนในการสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในองค์กรของลูกค้า ในห่วงโซ่ธุรกิจที่เอปสันมีส่วนเกี่ยวข้อง และกับสังคมไทย” นายยรรยง กล่าวทิ้งท้าย

นายพชร วันรัตน์เศรษฐ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สนับสนุนคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์จำนวน 500 เครื่อง ให้กับโรงเรียนภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ด้วยทักษะเทคโนโลยีดิจิทัลแก่เยาวชน สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาที่ทั่วถึงและเท่าเทียม โดยมี ดร.พัฒนะ พัฒนทวีดล (ที่ 2 จากขวา) รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้แทนรับมอบ

สู่ต้าเสีย ประเทศไทย แบรนด์หม่าล่าระดับโลก ต้นตำรับจากจีนเสฉวนที่มีมากกว่า 600 สาขา ร่วมกับ MARK TUAN จากวง GOT 7 ศิลปินระดับโลกในวงการ K-POP จัดงาน ‘MARK TUAN x SHU DAXIA’ ตอกย้ำถึงความสำเร็จของธุรกิจร้านอาหารหม่าล่าหม้อไฟระดับแนวหน้าของประเทศไทย และเป็นการขอบคุณลูกค้าผู้ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีตลอดมาโดยหวังก้าวเป็นผู้นำด้านการให้บริการ     ทางด้านอาหารจีนหม่าล่าหม้อไฟ แก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด เพื่อให้คนไทยได้ทานหม่าล่าหม้อไฟรสชาติต้นตำหรับ ที่วัตถุดิบสดใหม่เหมือนทานที่ประเทศจีน

สำหรับกิจกรรมสุดพิเศษ MARK TUAN x SHU DAXIA ทางแบรนด์จัดให้แฟนๆได้มีโอกาสลุ้นเข้างานแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในวันที่ 2 มีนาคม 2567 ได้ง่ายๆ พร้อมสิทธิพิเศษมากมายให้ใกล้ชิดกับศิลปินที่รักเเบบฟินสุดๆ อาทิ

  • รางวัลที่ 1 ได้ร่วมดินเนอร์หม่าล่าหม้อไฟหัวมังกรกับ MARK TUAN แบบไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน 30 ที่นั่งจากยอดที่สูงสุดตามลำดับ
  • รางวัลที่ 2 ได้ลุ้นเป็น 370 แฟนผู้โชคดี ได้ร่วมกิจกรรมในวันงานและรับประทานอาหารที่ร้าน
  • รางวัลที่ 3 ได้รับเอ็กซ์คลูซีฟ โฟโต้ การ์ด 16 แบบ เมื่อสะสมครบทุกแบบ และนำมาต่อกันจะได้เป็นภาพ MARK TUAN ให้แฟนคลับได้สะสมกันไปแบบจุใจ โดยมีการ์ดแรร์ไอเท็มในกลุ่มเอ็กซ์คลูซีฟ โฟโต้ การ์ด พร้อมลายเซ็น MARK TUAN แบบสดๆ 125 ใบ และการ์ด SSR หรือ Super Super Rare ที่มีแค่ 2 ใบในโลก สำหรับเอ็กซ์คลูซีฟ โฟโต้ การ์ด และของที่ระลึกอีกมากมาย

โดยมีเงื่อนไขในการเข้าร่วมกิจกรรมง่ายๆ เพียงทุกๆ การ Top up เครดิตทานอาหารที่ร้าน 3000 บาท ได้รับ Photocard 1 ใบ, Coupon 3D Soup 1 ตัว รูป Mark, Milo หรือ Boots สัตว์ของมาร์คต้วน (เลือก 1 แบบ)

และพิเศษยิ่งขึ้นสำหรับประเทศไทย ทางสู่ต้าเสียยังร่วมกับ MARK TUAN ออกแบบ Special Box Set จำนวน 300 กล่อง มูลค่า 24,000 บาท เพื่อให้ของขวัญที่ระลึกทุกชิ้นมีความหมายสะท้อนถึงแบรนด์และ MARK TUAN ได้อย่างลงตัวที่สุด จะได้รับสิทธิ์ในการลุ้นเข้างาน 8 สิทธิ์, Photocard 8 ใบ Coupon 3D Soup 8 ตัว รูป Mark, Milo หรือ Boots (เลือก 1 แบบ) เช่นกัน เตรียมตัวให้พร้อมกับแคมเปญพิเศษนี้โดยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ผ่านช่องทางช่องทางออนไลน์ LINE Official account @ShudaxiaTH, LINE Shopping หรือที่ SHU DAXIA สาขา CDC เลียบทางด่วนรามอินทรา Top up ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้น  โดยกติกาการสรุปยอด Top spender จะปิดในเวลา 23:59 น. พร้อมกับประกาศผู้โชคดีได้ร่วมงานทั้งหมดภายในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ และพบกับสู่ต้าเสีย ประเทศไทยแบรนด์หม่าล่าระดับโลกในสาขาใหม่ เร็วๆ นี้ โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหว ได้ที่ FB: SHU DAXIA Thailand หรือสอบถามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติม โทร. 094 491 3900

ครั้งเดียวในชีวิต! คู่รักชื่นมื่นแห่จดทะเบียนสมรสลอยฟ้าคับคั่ง! พร้อมชวนสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และบันทึกภาพประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน

กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ เปิดมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2567 ในงานสัมมนา KRUNGSRI EXCLUSIVE Investment Outlook 2024 : AI Trends and Investment Strategies โดยได้รับเกียรติจากทีมผู้เชี่ยวชาญจากกรุงศรี กรุ๊ป แบล็คร็อค พันธมิตรระดับโลกของกรุงศรี และ ที.โรว ไพรซ์ มาร่วมแบ่งปันมุมมองเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน และเศรษฐกิจไทย วิเคราะห์สถานการณ์การลงทุน โดยเฉพาะกระแสการลงทุนในกลุ่ม AI พร้อมเผยกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 โดยชี้ว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้ชะลอตัว รอลุ้นจังหวะดอกเบี้ยขาลง แนะลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนรวมหุ้นเทคฯ

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนี้ ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (จำกัด) มหาชน มองว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว โดยแรงหนุนหลักมาจากภาคบริการ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัว เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ โดยมองว่าวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยได้สิ้นสุดแล้ว และปัจจุบันอยู่ในช่วงนับถอยหลังสู่การปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งหากเจาะลึกลงไปในประเทศหลักๆ จะพบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯยังคงชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) โดยในปีนี้จะชะลอลงจากปีก่อน แต่ยังไม่น่ากังวลมากนัก และคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปีเป็นต้นไป ในส่วนของยูโรโซน ถึงแม้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาสามารถพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาได้อย่างหวุดหวิด อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของยูโรโซนจะยังคงฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ จึงอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าสหรัฐฯ สำหรับญี่ปุ่น เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมามีการฟื้นตัวและเติบโตขึ้น 1-2% เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในปีนี้จะเริ่มชะลอตัว และด้วยเงินเฟ้อที่ระดับ 2% จึงคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะมีการปรับนโยบายขึ้นมาเป็นบวก ทางฝั่งของจีน เศรษฐกิจในปีนี้น่าจะชะลอตัวอยู่ที่ระดับ 4-6% จากเดิมปีที่แล้วอยู่ที่ 5% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงยืดเยื้อ และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน สำหรับประเทศกลุ่ม ASEAN 5 ได้แก่ ไทย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ คาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7% สูงขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.2% นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ภูมิภาคที่มีการเติบโตที่ดี

ในส่วนของไทย ปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวดีกว่าปีก่อนหน้า โดยปัจจัยที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจไทย คือ 1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งส่งผลให้การจ้างงานและภาคการบริโภคฟื้นตัวตามไปด้วย 2) การใช้จ่ายของภาครัฐจะเริ่มกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่หลังจากพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ผ่านสภาในช่วงเมษายน-พฤษภาคม ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังคงเกิดจากการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่อง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยเช่น ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ต้นทุนสูง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตลอดจนความไม่แน่ในเชิงนโยบาย

เกาะกระแส AI เปิดมุมมองโอกาสหุ้นเทคฯ ยังไปต่อได้

จากกระแสและการเติบโตของ Generative AI ซึ่งมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด ได้แชร์มุมมองโอกาสการลงทุนจากกระแสของ AI โดยสรุปว่า นักลงทุนสามารถมองหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่อยู่ใน Value Chain ทั้งหมดของ AI ได้ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ หรือ Chip ได้แก่ NVIDIA AMD และ TSMC และกลุ่ม Data Infrastructure ซึ่งเป็นกลุ่มข้อมูลที่ใช้ในการเทรนด์เอไอ รวมถึงแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ที่ผู้บริโภค หรือ End User ใช้งาน ซึ่งหลังจากนี้จะได้เห็นการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ มากมาย

หากเจาะจงที่หุ้นในกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ซึ่งประกอบด้วย Apple (AAPL) Amazon (AMZN) Meta Platforms (META) Alphabet (GOOGL) Microsoft (MSFT) Nvidia (NVDA) และ Tesla (TSLA) พบว่าในปีที่ผ่านมามีการปรับราคาสูงขึ้น ขณะที่หุ้นเทคอื่นๆ ในตลาดยังไม่ปรับราคาสูงขึ้นหรือมีการปรับราคาสูงขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นนับเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมได้ ขณะที่หุ้น 7 นางฟ้า ในปีนี้คาดว่ายังคงเติบโตต่อเนื่องจากผลประกอบการและมุมมองเชิงบวกจากกลุ่มนักวิเคราะห์

ด้าน นายณพกิตติ์ จันทานานนท์ Southeast Asia Client Business Representative BlackRock กล่าวเสริมว่า ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนจะโฟกัสกลุ่มผู้เล่นที่เป็นกลุ่มผลิต Hardware และ Infrastructure ซึ่งในอนาคตเราเห็นโอกาสในกลุ่มผู้เล่นที่พัฒนาระบบประมวลที่นำเอาข้อมูลไปประยุกต์ใช้ รวมถึงการนำเอา AI ไปเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ บริการใหม่ๆ ในตลาด รวมไปถึง Sub Sector อื่นๆ อาทิ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต บริษัทเกม Content Creator หรือแม้แต่การผลิตพลังงานทางเลือก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็วของหุ้นกลุ่มเทคฯ ต้องอาศัยการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วและปรับพอร์ตตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที ซึ่งกองทุน KFHTECH บริหารจัดการโดย BlackRock จะมีทีมผู้จัดการกองทุนประจำอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ทำให้เข้าถึงข้อมูลและปรับพอร์ตได้อย่างทันต่อสถานการณ์ การลงทุนจะเป็นแบบ Bottom Up Approach ซึ่งจะมีการทำ Research ว่าบริษัทไหนมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต มีพื้นฐานที่ดี โดยจะมีความยืดหยุ่นสูง ด้วยการลงทุนในหุ้น 100-150 ตัวจาก Universe 2,500 ตัวทั่วโลก จึงสามารถปรับพอร์ตให้ทันสถานการณ์การลงทุนได้ตลอดเวลา ปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ถึง 49.9%

ขณะที่ Mr. Nicholas Tong Head of Intermediary, Southeast Asia T. Rowe Price ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุน KFGTECH ซึ่งบริหารจัดการโดย T. Rowe Price ว่า กองทุนดังกล่าวเน้นการลงทุนในภาพใหญ่ของเทคโนโลยี และเป็นการลงทุนแบบ Bottom Up ขุดหาหุ้นมาลงทุนเป็นรายตัว ซึ่งปีที่แล้วสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 62% โดยจะให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้เล่นที่เป็น Backbone สำคัญของ AI ซึ่งยังคงมีดีมานต์มหาศาล และมีพื้นฐานที่แข็งแรง

ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุนรวมทั้งสองเป็นกลุ่ม General Tech ไม่ได้ลงทุนเฉพาะหุ้นกลุ่ม AI แต่ด้วยกระแสและโอกาส สัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม AI จึงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ โดยกอง KFHTECH ของ BlackRock จะเป็นการสร้างพอร์ตแบบ Core & Opportunistic Holding คือ ลงทุนกลุ่ม Core 40-50% ขณะที่ลงทุนในกลุ่ม Opportunistic 50-60% ด้วยน้ำหนักที่น้อย แต่จะกระจายการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาวที่ดีกว่า ผันผวนน้อยกว่า และผลตอบแทนสม่ำเสมอ ขณะที่กองทุน KFGTECH ของ T. Rowe Price เป็นสไตล์การลงทุนแบบ Highly Active และเปลี่ยนแปลงทุก 6 เดือน ซึ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าในช่วงที่ตลาดขาขึ้น

แนะจัดพอร์ตการลงทุนด้วย 3 ธีมหลัก เน้น ‘ตราสารหนี้-กองทุนหุ้นเทคฯ’

ด้านนายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา CFA ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้สรุปมุมมองการลงทุนในปีนี้ผ่าน 3 ธีมหลัก ได้แก่ ธีมที่หนึ่ง สำหรับช่วงดอกเบี้ยขาลง แนะนำลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ เช่น KF-CSINCOM ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Income โดยจากข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่าหากเข้าลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยตลาดอยู่ในระดับสูงจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะหน้า ซึ่งในช่วง 1-3 ปีต่อจากนี้ อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลงจึงเป็นโอกาสของการลงทุนตราสารหนี้

ในส่วนของตลาดหุ้น ช่วงที่ผ่านมาตลาดอยู่ในช่วงขาลงเพราะสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลในอดีตจะเห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนที่ดีหลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกและเศรษฐกิจไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง Q4 งบของบริษัทจดทะเบียนค่อนข้างดี และนักวิเคราะห์ยังปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสองปัจจัยที่ผลักดันตลาดหุ้นคือ ดอกเบี้ยที่เป็นเทรนด์ขาลง และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลของตลาดคือ หุ้นโดยเฉพาะหุ้นเทค P/E ที่ 20 เท่า ซึ่งราคาค่อนข้างสูง ทำให้การ Upside ของตลาดหุ้นจำกัดจากเรื่องของมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการลงทุนในธีมที่สอง เมื่อเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่ม Defensive อย่างเช่นกองทุน KFGBRAND ซึ่งกระจายการลงทุนหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค สุขภาพ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงมีกำไรที่แข็งแกร่งแม้ในช่วงวิกฤต โดยจากผลตอบแทนรายปีในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า ในช่วงวิกฤติกองทุนดังกล่าวไม่ได้ปรับลงมากเท่าตลาด และยังสามารถปรับขึ้นได้ในบางช่วงอีกด้วย และธีมที่สาม ด้วยเทรนด์การเติบโตของ Generative AI อาจส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคมีราคาสูง แต่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก จึงแนะนำกองทุนอย่าง KFHTECH ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างๆ เป็นหลัก ซึ่งคาดว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจเทคฯ จะเติบโตเฉลี่ย 42% ต่อปีในช่วง 10 ปีข้างหน้า

ชี้เป้าหุ้นไทย ‘โรงพยาบาล-ICT-แฟชั่น’ คาดดัชนีฯ 1,465-1,717 จุด

ด้านนายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองภาพรวมเกี่ยวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ และหุ้นไทยในปีนี้ว่า ช่วงไตรมาส 4/2567 ภาพรวมตลาดหุ้นโต 1.6% แต่หากเอาหุ้นเทคที่กล่าวถึง 6-7 ตัวออก Earning Growth จะยังคงติดลบอยู่ประมาณ 10% ดังนั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยอาจจะเพิ่มหุ้น Defensive เช่น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมไปถึงหุ้นกลุ่ม Generative AI ซึ่งหากใครยังไม่มีอาจจะต้องรอจังหวะค่อยๆ สะสมไป รวมไปถึงพันธบัตรรัฐบาลที่น่าสนใจด้วย Yield ที่สูงประมาณ 4% กว่า ถือไว้ยังไงก็ไม่ขาดทุน ในส่วนของตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง Laggard และตอนนี้เข้าข่าย Low Growth, Low Inflation ซึ่งน่าจะปิดปีที่ประมาณ 1,450 แต่ถ้า FED ลดดอกเบี้ยได้เร็ว และตลาดเริ่มฟื้นอาจจะปิดที่ประมาณ 1,500 แนะนำควรจะหลีกเลี่ยงหุ้นใหญ่ และรอดูสัญญาณ Macro ก่อน เน้นหุ้นที่มีธีมชัดๆ และมี Earning Growth ที่ชัดเจน เช่น หุ้นกลุ่ม ICT ได้แก่ TRUE หรือ ADVANC รวมไปถึงกลุ่มสินค้าแฟชันอย่าง MC และ Sabina ซึ่งเป็นหุ้นตัวเล็กทั้งคู่ แต่ Perform ค่อนข้างดี นอกจากนี้ ยังคงแนะนำหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่สามารถถือได้ยาวๆ โดยมองเป้า SET Index ไว้ใน 3 กรณี คือ 1) หากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ 1,717 2) หากไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ 1,644 และ 3) หากเศรษฐกิจเติบโตชะลอ และเงินเฟ้อต่ำ ที่ 1,465

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=JXambdRQnSs และรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ KRUNGSRI EXCLUSIVE โทร 02-296-5566 LINE: @KrungsriExclusive

มุ่งสร้างความตระหนักให้เยาวชนคนรุ่นใหม่รักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

รูปแบบ NIGHT MUSEUM ภายใต้แนวคิด “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ - วันที่ 16 มีนาคม นี้ ตั้งแต่ เวลา 18.00 - 21.30 น. ณ พระราชวังพญาไท

X

Right Click

No right click