บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  (“บริษัทฯ” หรือ “LPN”) เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.10% ต่อปี  และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเสนอขายวันที่ 23 - 25 มกราคมนี้ ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 7 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) 

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เผยว่า LPN กลุ่มบริษัทผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพที่มาพร้อมกับความน่าอยู่ในทุกมิติ เพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดมานานกว่า 35 ปี พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 2 ชุด โดยเป็นการออก และเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.10% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.40% ต่อปี หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท คาดเสนอขายวันที่ 23 - 25 มกราคม 2567  โดยมีวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อนำไปชำระคืนหุ้นกู้ และ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในกิจการภายในปี 2567

หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม “ลบ” ซึ่งอยู่ในระดับ Investment grade หรือเรียกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้

โดยที่ผ่านมา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการรวมมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมระดับพรีเมียม อาทิ โครงการเรสซิเดนซ์ 168  ราชพฤกษ์, โครงการเมซอง 168 เมืองทอง และบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมในราคาที่จับต้องได้ อาทิ โครงการเวนู 24 คูคต สเตชั่น ,โครงการ เฮ้าส์ 24 เวสต์เกต และอีกหลายหลายโครงการ รวมถึงไปคอนโดมิเนียมคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในวงการอสังหาริมทรัพย์มาตลอด 35 ปี ได้แก่ พาร์ค 168 นพรัตน์ รามอินทรา และแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา คือ โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. บริเวณนิคมอมตะ จังหวัดชลบุรีเป็นที่แรก สำหรับในส่วนของผลประกอบการ บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 8,000 ล้านบาท ทำให้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 5,562 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 336 ล้านบาท โดยรายได้หลักเกิดการจากการขายโครงการพร้อมอยู่ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และเริ่มทยอยส่งมอบโครงการบ้านพักอาศัยแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังมียอดขายรอโอน (Backlog) อีกกว่า 2,800 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในอนาคตต่อไป

“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การออกหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน ซึ่งการระดมทุนด้วย การออกหุ้นกู้ของบริษัทฯ ไม่ได้ออกเสนอขายบ่อยนักในแต่ละปี ถือเป็นโอกาสในการลงทุน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ ผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนคงที่ในอัตราที่เหมาะสม ในองค์กรที่มีอันดับ ความน่าเชื่อถือในระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade)”

ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ LPN สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.sec.or.th และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Bualuang mBanking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
  • บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-009-8351-56
  • บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
  • บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โทร. 02-625-2422
  • บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675

 

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย หนึ่งในผู้นำธุรกิจประกันชีวิต ผนึกกำลัง ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) (“ซีไอเอ็มบี ไทย”) ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มซีไอเอ็มบี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการทางด้านการเงินชั้น แนวหน้าของภูมิภาคอาเซียน ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ในประเทศไทย โดยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการประกันชีวิตของพรูเด็นเชียล ทั้งในด้านสุขภาพรวมถึงการสร้างความมั่งคั่ง ให้แก่ลูกค้าของซีไอเอ็มบี ไทย ที่มีฐานขนาดใหญ่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 การบรรลุข้อตกลงความร่วมมือเป็นพันธมิตรด้านแบงก์แอสชัวรันส์ กับ ซีไอเอ็มบี ไทย  ด้วยเล็งเห็นว่า แนวโน้มการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร หรือ แบงก์แอสชัวรันส์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าต่างให้ความสนใจกับการวางแผนและเลือกซื้อด้านประกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประกันชีวิต สุขภาพ การออมและการลงทุนผ่านช่องทางธนาคาร เพราะมีความน่าเชื่อถือ สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การจับมือกันครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าของซีไอเอ็มบี ไทย ได้มีทางเลือกในการเลือกแผนประกันที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการทางด้านการเงินและการใช้ชีวิต

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ผมมีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้เราได้จับมือกับอีกหนึ่งพันธมิตรแบงก์แอสชัวรันส์ที่มีความแข็งแกร่งในประเทศไทย อย่าง ซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งกลุ่มซีไอเอ็มบี ถือเป็นธนาคารชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน เช่นเดียวกับกลุ่มพรูเด็นเชียลที่มีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจยาวนานกว่า 175 ปี ครอบคลุมธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน จากประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัท ผมเชื่อมั่นว่าการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น เราพร้อมที่จะให้คำปรึกษาและช่วยเหลือลูกค้าเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลย่างดีที่สุด”

“นอกจากนั้น ลูกค้าของซีไอเอ็มบี ไทย ยังสามารถเข้าถึงแผนประกันที่หลากหลายได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากเรานำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาบริการแบบ ‘One Connected Platform’ โดยลูกค้าสามารถเข้าไปขอคำปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์ จัดการกรมธรรม์ และ ขอรับบริการด้านสินไหม จาก PRUPolicy ผ่านเว็บไซต์  และ PRUConnect ผ่าน LINE Official Account ด้วยความสะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถติดต่อกับพรูเด็นเชียลได้ทุกที่ทุกเวลา” นายบัณฑิต กล่าวเสริม

ตัน คีท จิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในเรื่องการพัฒนานวัตกรรม เพื่อเติมเต็มความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับความคุ้มครองและการเกษียณอายุ ที่พบว่ากำลังเติบโตสูงขึ้นมากในกลุ่มลูกค้าคนไทย ควบคู่ไปกับการนำเสนอบริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า ทั้งนี้ ซีไอเอ็มบี ไทย และพรูเด็นเชียล ต่างมีความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะมอบประสบการณ์ digital bancassurance ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า และมุ่งมั่นที่จะยกระดับ digital platform และยกระดับความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมความต้องการและแข่งขันได้ในตลาด”

พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า “ธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของธนาคารในระยะยาว ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารความ มั่งคั่งของซีไอเอ็มบี ไทย และความเชี่ยวชาญธุรกิจประกันชีวิตและการบริหารจัดการสินทรัพย์ของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่มีชื่อเสียงระดับโลก”

“ซีไอเอ็มบี ไทย พร้อมเดินหน้าจับมือกับพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ผมมั่นใจว่าด้วยจุดแข็งที่ โดดเด่นของทั้งคู่ จะส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” พอล วอง กล่าว

การประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ ซีไอเอ็มบี ไทย จะช่วยให้พรูเด็นเชียล ประเทศไทย สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการทางการเงินในประเทศไทยได้กว้างขวางและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซีไอเอ็มบี ไทย ในการร่วมเดินเคียงข้างลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิต ผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการทางการเงิน และการให้บริการในรูปแบบดิจิทัลอีกด้วย

นอกจากการออกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการทางด้านการเงิน พรูเด็นเชียล ยังมุ่งมั่นพัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อาทิ การบริหารจัดการการจัดจำหน่าย การฝึกอบรมพนักงาน และการมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้า ทั้งนี้เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่ช่องทางขายผ่านทางธนาคารร่วมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป.

นายศรชัย สุเนต์ตา (ที่ 2 ซ้าย) , CFA  SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมลงนามในสัญญากับนายไทสัน เจมส์ คามิน  (ที่2 ขวา)  รองกรรมการผู้จัดการ บริการงานตัวแทนและบริการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาโครงการ คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เพื่อร่วมมือกันในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศให้แก่กลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคาร  โดยมี ดร.สาธิต ผ่องธัญญา (ที่ 1 ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office and Wealth Platform  ธนาคารไทยพาณิชย์ และนายคาร์โล โพเบร (ที่1 ขวา) รองกรรมการผู้จัดการ บริการประเมินราคา ปรึกษาการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ คอลลิเออร์ส  ประเทศไทย  ร่วมเป็นสักขีพยาน  เมื่อเร็วๆนี้   

ทั้งนี้ คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จากทั่วโลก โดยมีสาขาประมาณ 66 ประเทศทั่วโลก มีมูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 9.9 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ เป็นบริษัทที่ลูกค้าจำนวนมากในประเทศไทย และต่างประเทศ ไว้วางใจในการให้คิดค้นหาวิธีการจัดการที่เพิ่มผลตอบแทนจากทรัพย์สินของอสังหาริมทรัพย์ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ธนาคารเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง ในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ที่สามารถตอบทุกโจทย์ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารได้เป็นอย่างดี

realme แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้ประกาศในงานแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์สำหรับสื่อมวลชนประจำปี 2024 (realme 2024 Media Preview Event) ที่ลาสเวกัสว่า realme 12 Pro Series จะมาพร้อมกับเลนส์ Periscope Telephoto ระดับเรือธง โดยภายในงาน realme ได้จัดแสดงเทคโนโลยี Periscope Telephoto ขั้นสูงและการออกแบบจากนาฬิกาสุดหรู นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้ร่วมสัมผัสกับ realme 12 Pro Series โดยได้รับคำชื่นชมว่านี่อาจเป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับการถ่ายภาพชั้นนำในระดับเดียวกัน

คุณ Sky Li ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร realme ได้ออกจดหมายเปิดผนึกประกาศว่าปี 2024 จะเป็นปีแห่งการรีแบรนด์ พร้อมทั้งยังเปิดตัวสโลแกนใหม่ "Make it Real" และเปลี่ยนตำแหน่งแบรนด์สู่การเป็นแบรนด์เทคโนโลยีที่เข้าใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ภายใต้การวางตำแหน่งแบรนด์ใหม่นี้สำหรับตระกูล Number Series จะถูกวางตำแหน่งให้เป็นอนาคตของการถ่ายภาพ (Next-gen) และในงานครั้งนี้ถือเป็นการสื่อสารอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ realme หลังจากการรีแบรนด์ด้วยเช่นกัน

เพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้งานรุ่นใหม่ด้วยภาพถ่ายเจเนอเรชั่นใหม่ผ่านเลนส์ Periscope Telephoto ระดับเรือธง

จากผลจากวิจัย realme พบว่าคนรุ่นใหม่ชื่นชอบเลนส์ Telephoto ที่มีการซูม 3 เท่าขึ้นไป มากกว่าการซูมแค่ 2 เท่า และหากต้องการใช้งานการซูมระดับสูงในสมาร์ตโฟนที่มีขนาดบาง สะดวกสบายในการถือ การถ่ายภาพ Periscope Telephoto จึงเป็นทางเลือกเดียวที่ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้นำเสนอความท้าทายทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งโดยปกติแล้วจะสงวนไว้สำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธง แต่ realme กำลังปิดช่องว่างนี้ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีกล้อง Periscope Telephoto เอกสิทธิ์เฉพาะรุ่นเรือธงให้กับกลุ่มผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่ได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น

realme ได้พัฒนาสูตร Periscope Telephoto ที่เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายภาพคุณภาพสูงภายใต้สภาวะต่างๆ โดยได้เปิดตัวครั้งแรกใน realme GT5 Pro ที่เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา การวางตำแหน่งประสิทธิภาพจากการถ่ายภาพโดย Periscope ของ realme GT5 ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และใน realme 12 Pro Series ที่กำลังจะมาถึงจะใช้แนวทางเดียวกัน โดยผสานรวมขนาดเซ็นเซอร์ชั้นนำ แพลตฟอร์มประสิทธิภาพสูง และอัลกอริธึมขั้นสูงเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการถ่ายภาพที่เหนือกว่า

ร่วมมือกับนักออกแบบนาฬิกาหรูระดับสากลสู่การสร้างสรรค์ในด้านดีไซน์

สำหรับ number series realme มุ่งหวังที่จะมอบประสบการณ์การถ่ายภาพแบบ Next-gen ให้กับคนหนุ่มสาวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างมีสไตล์ นอกจากภาพลักษณ์เรือธงแล้ว realme ยังได้ร่วมมือกับ Ollivier Savéo ปรมาจารย์ด้านการออกแบบนาฬิกาหรูระดับนานาชาติ เพื่อสร้างดีไซน์นาฬิกาสุดหรูสำหรับ realme 12 Pro Series

Ollivier Savéo นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านความเป็นผู้นำในกลุ่มนาฬิกาและจิวเวลรี่ระดับไฮเอนด์ โดยเคยร่วมงานกับแบรนด์นาฬิกาสวิสอันทรงเกียรติมากมาย เช่น Rolex, Roger Dubuis, Piaget, Breitling และ Quentin โดยความเชี่ยวชาญของเขามีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นาฬิกาดีไซน์หรูที่ยกระดับ realme 12 Pro Series ไปสู่อีกระดับ

ด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิกาหรูคลาสสิก realme และ Ollivier Savéo ได้ร่วมสร้างสรรค์เพื่อริเริ่มโครงสร้างการออกแบบและงานฝีมือ โดยผสมผสานองค์ประกอบที่ประณีตเข้ากับการออกแบบอุตสาหกรรม จึงทำให้ realme 12 Pro Series ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับแนวคิดจากการออกแบบนาฬิกาสุดหรู

realme 12 Pro Series มีกำหนดเปิดตัวแบบ Global ในเดือนมกราคม นอกเหนือจากการถ่ายภาพและการออกแบบแล้ว realme 12 Pro Series ยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอื่นๆ มากมายเช่นกัน

ตอกย้ำผู้นำบิวตี้เทคด้วย ซีอีโอ นิโคลา ฮิโรนิมุส ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงาน CES เป็นครั้งแรกจากบริษัทความงาม

LINE Wallet ปรับโฉมใหม่! รับอินไซต์ผู้ใช้ไทย ชูความสะดวก ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม เพิ่มทางเลือกเข้าถึงบริการ LINE SHOPPING, LINE MAN และ LINE BK ไว้ในแท็บเดียว โดยหยิบเอา 3 บริการไลฟ์สไตล์สุดฮิตจาก LINE ขึ้นมาเป็น 3 แท็บย่อยของเซอร์วิสยอดนิยม เพื่อเป็นเมนูไอคอนทางลัด พร้อมปุ่มแจ้งเตือนสีเขียวเพื่อไม่ให้พลาดทุกคอนเทนต์และโปรโมชั่นจากพาร์ทเนอร์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่ไม่หยุดนิ่ง

LINE ประเทศไทย เผยปี 2566 มีผู้ใช้งาน LINE Wallet ราว 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% จากผู้ใช้ LINE ทั้งหมด โดยพบว่าบริการยอดนิยมบนหน้า Wallet คือ การซื้อสติกเกอร์และบริการฟินเทค (Fin-Tech) โดยมีผู้ใช้ถึงกว่า 75% นิยมเข้ามาซื้อของ โดยเฉพาะสติกเกอร์ ธีม เมโลดี้ และสินค้าบน LINE SHOPPING ขณะที่บริการฟินเทคใน LINE BK ได้รับความนิยมใช้งานกว่า 50% นอกจากนี้ ผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังพบว่า ผู้บริโภคนิยมใช้จ่ายผ่าน E-Wallet ในหมวดหมู่สินค้าอาหารและเครื่องดื่มมากถึง 57.1% รองลงมาเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค 37% เป็นผลมาจากพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์และธุรกรรมการเงินออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุด LINE Wallet แท็บที่ 5 บนแอปฯ LINE ได้ปรับโฉมใหม่ให้สอดคล้องกับอินไซต์ผู้ใช้ ด้วยการเชื่อมโยง LINE SHOPPING, LINE MAN และ LINE BK ไว้ในแท็บเดียว  โดยเพิ่มแท็บย่อยของทั้งสามเซอร์วิส เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงบริการ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ชีวิตสะดวกขึ้น 

LINE Wallet ล่าสุดมีการปรับโฉมดีไซน์โดยเพิ่มสามแท็บย่อย เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้นในทุกบริการ และยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้แก่

  • LINE SHOPPING ติดตามออเดอร์ ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะติดตามออเดอร์หรือมองหาแคมเปญไหนก็ตาม รวมไว้ให้หมดบนแท็บย่อย LINE SHOPPING พร้อมอัปเดตเทรนด์ฮิตและสินค้าใหม่จากเหล่าร้านค้าโซเซียลได้ทุกวัน 
  • LINE BK โอนง่ายขึ้น ไวขึ้น ไม่ต้องใส่ข้อมูลใหม่ ทำให้ทุกการโอนและการใช้จ่ายของคุณสะดวกยิ่งขึ้น! เพราะไม่ต้องกรอกข้อมูลใหม่ทุกครั้งให้ยุ่งยาก เพียงคลิกเลือกผู้รับเงินได้จากประวัติการโอนเงินล่าสุดของคุณได้เลย! พร้อมอัปเดตข่าวสารทางการเงิน ให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว รวมไว้ให้ตรงนี้ที่เดียว! 
  • LINE MAN กับ ฟีเจอร์ใหม่ "ร้านอาหารแนะนำสำหรับคุณ" ไม่รู้จะสั่งอะไร ใช้ฟีเจอร์ใหม่เพื่อช่วยคุณคิดเมนูอาหารหรือเครื่องดื่มได้ง่าย ๆ บนหน้า LINE Wallet พร้อมสะดวก ในการเช็คสถานะการจัดส่งออร์เดอร์ของคุณตั้งแต่หน้าร้าน จนถึงหน้าประตูบ้านคุณได้ บนแท็บย่อย LINE MAN ใน LINE Wallet

LINE Wallet ปรับใหม่เพื่อให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นในทุกวัน รองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่กับ 3 แท็บย่อยและฟีเจอร์ใหม่ พร้อมให้เข้ามาใช้งานได้แล้ววันนี้ เพียงเข้าแท็บ Wallet ก็จะได้พบกับประสบการณ์การชิม-ช้อป-บริการทางการเงิน หรือคลิก https://lin.ee/akifmv3/wsaj และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการต่าง ๆ ของ LINE Wallet ได้ทาง LINE Wallet Official Account (@linewallet_th)

 

มอบจักรยาน และหมวกกันน็อคให้เป็นของขวัญวันเด็ก 2567

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ร่วมกับ Klook แพลตฟอร์มผู้ให้บริการการจองกิจกรรมท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเสริมความแข็งแกร่งในตลาดท่องเที่ยว พร้อมยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้าและนักท่องเที่ยว โดยความร่วมมือดังกล่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา กรุงศรี ได้ส่ง กรุงศรี ฟินโนเวต เข้าร่วมลงทุนใน Klook จากการระดมทุนรอบล่าสุด

ความร่วมมือนี้นับเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของเอเชียที่สถาบันการเงินได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในมิติที่หลากหลาย เพื่อเสริมพลังและยกระดับการท่องเที่ยว ตั้งแต่ช่วยวางแผนการเดินทาง นำเสนอข้อมูลการท่องเที่ยวที่ถูกต้องและอัพเดท บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย ราคาคุ้มค่า รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมายสำหรับลูกค้ากรุงศรี ทั้งนี้ สองพันธมิตรจะใช้ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเข้ามาส่งเสริมความร่วมมือในการยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยร่วมบูรณาการในหลายภาคส่วน เพื่อให้การร่วมมือกันครั้งนี้ครอบคลุมในหลากหลายมิติของการท่องเที่ยว โดยกรุงศรีพร้อมชูจุดเด่นในด้านการเป็นสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือและมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับนักท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ในขณะที่ Klook เน้นความแข็งแกร่งด้านดิจิทัล โซลูชัน เทคโนโลยีการจองกิจกรรมท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ และการเป็นผู้นำการตลาดของการให้บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกที่หลากหลาย และครอบคลุมความต้องการของนักท่องเที่ยว 

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและยังช่วยพัฒนา Ecosystem ให้มีศักยภาพสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยครั้งนี้กรุงศรีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน Travel Ecosystem ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากเราเห็นศักยภาพการเติบโตของการท่องเที่ยวทั้งในแง่ของความต้องการ ปริมาณการจับจ่ายใช้สอย และเทรนด์ในอนาคต เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Klook เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม และเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุน Travel ecosystem โดยทางกรุงศรี และ Klook จะร่วมกันสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ง่ายและสะดวก ผ่านแพลตฟอร์มการจองกิจกรรมท่องเที่ยว และช่องทางการชำระเงินที่น่าเชื่อถือ ไปจนถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อีกมากมายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่ชื่นชอบการเดินทางไปญี่ปุ่น สอดคล้องกับแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ซึ่งเราคิดว่าด้วยศักยภาพและความพร้อมด้านผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของญี่ปุ่น  Klook จะเป็นพันธมิตรที่ช่วยเราสะท้อนความแข็งแกร่งและช่วยเจาะตลาดกลุ่มคนรักญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี”

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นนับเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทยมาโดยตลอด ตัวเลขภายในของ Klook แสดงให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับยอดการจองของนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น โดยพบว่ามีการเติบโตด้านยอดขายของกิจกรรมญี่ปุ่นสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้ กรุงศรี และ Klook จึงพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ กิจกรรมท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อาทิ เวิร์กชอปชงชาแบบญี่ปุ่น ร้านอาหารยอดฮิต บริการรถเช่าแบบพรีเมียม ไปจนถึงกิจกรรมที่เป็นที่นิยมตลอดกาล เช่น บัตรเข้าสวนสนุก บัตรรถไฟในญี่ปุ่น และกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟอีกมากมายที่จะช่วยตอกย้ำการเป็นตัวจริงเรื่องกิจกรรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวในญี่ปุ่น 

นายพงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางด้วยตัวเอง ให้สามารถมีประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ทางเรากำลังศึกษาและพัฒนาร่วมกัน อาทิ ฟังก์ชันให้บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวในญี่ปุ่นบนแอปพลิเคชัน UCHOOSE ซึ่งนับเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อลูกค้ากรุงศรีโดยเฉพาะ รวมถึงวางแผนที่จะให้บริการการผ่อนชำระไปจนถึงมอบสิทธิพิเศษ และส่วนลดอีกมากมายสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีและผู้ถือบัตร Krungsri Boarding Card ให้การทุกทริปการเดินทางเป็นเรื่องง่าย สะท้อนคำมั่นสัญญา ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน”

นายอีริค น็อก ฟาห์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Klook กล่าวว่า “การร่วมมือกันในเชิงกลยุทธ์กับกรุงศรีในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดียและใช้มือถือเป็นหลักในการจองกิจกรรมท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีความต้องการที่จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวด้วยการเข้าร่วมหรือทดลองทำกิจกรรมที่มีเอกลักษณ์และช่วยเติมเต็มการท่องเที่ยวให้มีความหมายมากขึ้น ทั้งนี้ การร่วมมือระหว่างสองพันธมิตร จะช่วยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวไทยได้ออกเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลกได้อย่างง่ายดายไร้รอยต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศยอดนิยมอย่างญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับกิจกรรมที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่กิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมไปจนถึงกิจกรรมแบบท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

ทั้งนี้ความร่วมมือในเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Klook และกรุงศรีสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและการนำเอาจุดแข็งของสองพันธมิตรมาพัฒนาต่อยอดและนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางด้วยตัวเองสามารถค้นหาและจองกิจกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ได้อย่างสะดวกง่ายดายในราคาที่ดึงดูดใจ

เปิดโซนส่วนตัวหน้าโครงการ ลดสูงสุด 2 ล้าน เริ่มจอง 27 ม.ค.นี้

ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกทุกมิติมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปรับการดำเนินงานภายในองค์กรสู่การผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการลดคาร์บอน ล่าสุดเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือรถ EV Currency Exchange นำร่องใช้งานจริงแล้วในกรุงเทพฯ และภูเก็ต นอกจากนี้ ยังช่วยให้ลูกค้าของธนาคารได้มีส่วนร่วมในการรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดทำบัตรเครดิต/เดบิตที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล พร้อมทยอยเปลี่ยนบัตรกว่า 20 ล้านใบให้ครบทั้งหมดภายใน 7 ปี ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 770 ตันคาร์บอนฯ หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 51,333 ต้น

นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนในการแก้ปัญหาโลกร้อน จึงเดินหน้านโยบายและปรับการดำเนินงานต่างๆ ภายในองค์กร รวมถึงส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงไลฟ์สไตล์กรีนเพื่อมุ่งสู่ Net Zero Commitment ตามที่ธนาคารได้ประกาศไว้เมื่อปี 2564 โดยด้านการดำเนินงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนรถยนต์ของธนาคารจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วจำนวน 175 คัน และจะทยอยเปลี่ยนจนครบทั้งหมดภายในปี 2573 มีการทยอยติดตั้งแผงโซลาร์ในอาคารสำนักงานหลักและสาขา โดยตั้งเป้าติดตั้งให้ครบทุกสาขาที่มีศักยภาพในการติดตั้งจำนวน 278 แห่ง ภายใน 2 ปี การปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปรับกระบวนการทำงานและการให้บริการของธนาคารไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจัดการขยะในอาคารสำนักงานหลักเพื่อลดปริมาณขยะที่ไปสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ รวมทั้งส่งเสริมพนักงานและบุคลากรของธนาคารให้มีความรู้และเกิดพฤติกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ธนาคารยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น ผ่านการใช้บริการของธนาคารที่ใส่ใจเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดตัวนวัตกรรมบริการที่มีเป้าหมายช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 2 โครงการ เป็นธนาคารแรกในไทย ได้แก่ การพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือรถ EV Currency Exchange และการจัดทำและเปลี่ยนบัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นบัตรที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งทั้งสองโครงการได้พัฒนาสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย และมีการนำไปให้บริการจริงแล้ว

สำหรับรถ EV Currency Exchange เป็นรถแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ขับเคลื่อนได้สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และใช้แบตเตอรี่ที่ได้พลังงานจากแผงโซลาร์ที่ติดตั้งบริเวณหลังคารถสำหรับการให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราในรถได้ต่อเนื่องสูงสุด 10 ชั่วโมงโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟ ปัจจุบันนำร่องเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการแลกเงินแก่นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเริ่มที่ จ.ภูเก็ต เป็นจังหวัดแรก และมีแผนขยายจำนวนรถให้ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต

ด้านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคารกสิกรไทย มีการเปลี่ยนมาใช้บัตรที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งช่วยลดการผลิตเม็ดพลาสติกใหม่ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ใบละ 42 กรัมคาร์บอนฯ หรือลดลง 62% จากการใช้วัสดุแบบเดิม โดยเริ่มมีการทยอยนำบัตรแบบใหม่นี้มาใช้ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2566 ให้แก่ลูกค้าที่ออกบัตรใหม่ บัตรทดแทน และบัตรต่ออายุ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเปลี่ยนบัตรกว่า 20 ล้านใบได้ครบทั้งหมดภายใน 7 ปี ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 770 ตันคาร์บอนฯ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 51,333 ต้น

นายพิพิธกล่าวตอนท้ายว่า ในปี 2567 ธนาคารยังคงเดินหน้าผลักดันลูกค้าให้ร่วม GO GREEN Together อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนเงินทุน องค์ความรู้ และการพัฒนา Innovation ใหม่ๆ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้าง Green Ecosystem ให้เกิดขึ้นจริง และร่วมกันพาประเทศสู่ Net Zero อย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้ที่สนใจร่วมรักษ์โลกไปกับธนาคารสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครใช้บริการ ได้ที่

 

X

Right Click

No right click