กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยสำนักส่งเสริมการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ จัดโครงการส่งเสริมพัฒนาสินค้าและเทคนิคการผลิตของผู้ประกอบการMaterial ของไทยสู่ตลาดญี่ปุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทย พัฒนาสินค้าวัตถุดิบ / วัสดุท้องถิ่นหรือ Material ของไทย รุกตลาดต่างประเทศ โดยได้ Mr. Junya Kitagawara ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นร่วมติวเข้ม แนะแนวทางการเจาะตลาดพร้อมพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีโลกโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากไทยมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา โดยปี 2561 ไทยส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ไปยังประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่ากว่า 413 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าที่ใช้วัสดุและเทคนิคการผลิตของไทยเป็นสินค้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่าง และหายากมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่น เนื่องจากสามารถนำมาพัฒนาเป็นสินค้าของใช้ของตกแต่งบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ การเจาะตลาดญี่ปุ่นจะสามารถขยายมูลค่าส่งออกได้เป็นอย่างดี

เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ กรมฯ จะมีการจัดประชุมหัวข้อ “แนะนำแนวโน้มสินค้าที่ทำจากวัตถุดิบของไทย : เทรนด์การส่งออกที่มีศักยภาพของอุตสาหกรรมตกแต่งภายในประเทศญี่ปุ่น” (Material Trend : Potential Products for Japanese Interior design Industry) โดยได้ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น Mr. Junya Kitagawara ติวเข้มให้ผู้ประกอบการไทยกลุ่มสินค้าที่ใช้วัสดุ / วัตถุดิบท้องถิ่น อาทิ ของขวัญ ของใช้ ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เคหะสิ่งทอ และผู้สนใจ ไม่ต่ำกว่า 80 ราย ได้เข้าใจถึงสินค้า "Material" และช่องทางในการส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่น

กิจกรรมจะจัดขึ้นในวันที่ 19 เมษายน 2562 ภายในงานแสดงสินค้า STYLE Bangkok เดือนเมษายน 2562 และวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2562 จะเป็นการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ โดย Mr. Kitagawara เพื่อรับคำแนะนำเชิงลึกต่อไป ทั้งนี้ สินค้าที่ผ่านการพัฒนาแล้ว จะได้ร่วมจัดแสดงภายในงานแสดงสินค้า Tokyo International Gift Show 2019 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

 

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02 507 8330 หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ โทรสายตรงกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 1169

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ชูนวัตกรรมอัจฉริยะจาก AI คลาวด์ และ IoT ยกระดับศักยภาพธุรกิจเอสเอ็มอีไทยให้ทัดเทียมองค์กรขนาดใหญ่บนเวทีโลก ในงาน Microsoft Innovation Conference ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เพื่อให้คำแนะนำทั้งในเชิงเทคนิคและกลยุทธ์กับผู้บริหารและพนักงานฝ่ายไอทีของธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วไทย และนำเสนอโซลูชันเด่นที่พร้อมเร่งประสิทธิภาพให้กับทุกองค์กร

ภายในงาน ทีมผู้บริหารไมโครซอฟท์ นำโดยนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เสนอแนะแนวทางการนำเทคโนโลยีระดับโลกมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับธุรกิจในทุกประเภทและอุตสาหกรรม ทั้งยังเจาะลึกแนวคิด “Three Clouds” กับการผสมผสาน 3 โซลูชันและแพลตฟอร์มคลาวด์ของไมโครซอฟท์อย่าง อาซัวร์  Office 365 และ Dynamics 365 เข้าด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้รุดหน้าอย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

“คำพูดที่ว่า ‘AI มีอยู่ทุกหนแห่ง’ นั้น กำลังใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะเป็นแชทบอทของร้านค้าที่ตอบคำถามของลูกค้าอย่างอัตโนมัติ หรือระบบ Electronic Know-Your-Customer สำหรับการยืนยันตัวตนลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลของธนาคาร ก็ล้วนทำงานโดยมี AI เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานอยู่เบื้องหลัง” นายธนวัฒน์กล่าว “AI และคลาวด์ ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่อยู่ไกลเกินเอื้อมของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย เพราะเงินทุนไม่ใช่อุปสรรคในการนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพอีกต่อไป แต่กลับเป็นเรื่องของกลยุทธ์และแนวคิดในการพัฒนาธุรกิจที่ยังขาดหายไปอยู่ โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีธุรกิจเพียง 26% เท่านั้นที่นำ AI มาเป็นหัวใจหลักในกลยุทธ์ทางธุรกิจ เราเชื่อว่าธุรกิจในยุค AI จะต้องมี Tech Intensity หรือความเข้มข้นในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ผ่านทางการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพจากเทคโนโลยี”

ยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้า พร้อมเสริมความคล่องตัวให้พนักงานและองค์กร ด้วยโซลูชันคุณภาพจากพันธมิตรของไมโครซอฟท์

ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ได้จับมือกับพันธมิตรผู้พัฒนาและติดตั้งโซลูชันชั้นนำในประเทศไทยเพื่อร่วมกันจัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการล่าสุดสำหรับทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีและธุรกิจขนาดใหญ่ โดยครอบคลุมการทำงานในหลายด้าน นับตั้งแต่ประสบการณ์ของลูกค้าไปจนถึงระบบงานภายในองค์กร เช่น Wolf Approve ระบบการขออนุมัติเอกสารออนไลน์ผ่านคลาวด์ โดยบริษัท เทคคอนส์บิส จำกัด จะช่วยลดความซับซ้อนในการเดินเอกสารทั่วไปภายในองค์กร เช่นการขอเบิกค่าใช้จ่าย เบี้ยเลี้ยง หรือการยื่นใบลา เป็นต้น ด้วยการสร้างแบบฟอร์มและกระบวนการอนุมัติที่เป็นดิจิทัลทั้งหมดบนแพลตฟอร์มคลาวด์ ไมโครซอฟท์ อาซัวร์

คุณสิโรฒม์ ทัศนัยพิทักษ์กุล Solution Specialist จากเทคคอนส์บิส เผยว่า “นอกจากจะเป็นการย้ายระบบงานเอกสารจำนวนมากขององค์กรให้กลายเป็นระบบดิจิทัลที่ไม่ต้องพึ่งพากระดาษแล้ว Wolf Approve ยังรองรับการตั้งเงื่อนไขการอนุมัติเอกสารได้โดยอัตโนมัติ ตามรูปแบบการทำงานของแต่ละบริษัท ไม่สับสนในการส่งเอกสารไปหาผู้อนุมัติที่ถูกต้องอีกต่อไป ทั้งยังเปิดให้ใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันในอุปกรณ์พกพาต่างๆ จึงทำให้พนักงานและผู้อนุมัติเอกสารสามารถทำเรื่องและอนุมัติคำร้องต่างๆ ได้จากทุกที่ ทุกเวลา แม้ในขณะเดินทาง”

ส่วนโซลูชัน Smart Self-Checkout จุดชำระเงินซื้อสินค้าแบบอัจฉริยะ โดย บริษัท ริเวอร์พลัส จำกัด นำบริการ Custom Vision บนแพลตฟอร์มอาซัวร์ มาพัฒนาต่อยอดเป็นระบบ AI ที่สามารถแยกแยะวัตถุตรงหน้าเพื่อให้บริการลูกค้าได้โดยอัตโนมัติ เช่นในกรณีตัวอย่างของร้านเบเกอรี่ ที่สามารถฝึกสอนให้ AI ดังกล่าวจดจำลักษณะของขนมปังแต่ละชนิดจากภาพที่มองเห็นผ่านกล้อง เมื่อลูกค้านำถาดมาวางใต้กล้อง AI จะระบุชื่อสินค้า ระบุราคา ปริมาณแคลอรี่ โปรโมชั่น สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องบนหน้าจอได้ทันที นอกจากนี้ AI และแพลตฟอร์มอาซัวร์ ยังสามารถเก็บข้อมูลอื่นไม่ว่าจะเป็นยอดขาย สินค้าขายดี อายุ เพศ ความพึงพอใจของผู้ซื้อ ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวสามารถนำมาดัดแปลงให้เข้ากับการทำงานในแต่ละธุรกิจได้อีกด้วย

“เทคโนโลยีด้าน Machine Vision หรือการมองเห็นของระบบคอมพิวเตอร์ ที่ทางริเวอร์พลัสพัฒนาขึ้นมานั้น ไม่ได้ใช้ได้เพียงแต่ในกรณีนี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรมได้อีกหลากหลายรูปแบบด้วย เช่นในกรณีของการตรวจสอบรหัสชิ้นส่วนหรือคุณภาพสินค้าในสายการผลิต เป็นต้น” คุณจิราภรณ์ ตีระมาศวณิช ผู้จัดการทั่วไปของริเวอร์พลัสเผย

บริษัท จีเอเบิล จำกัด ได้นำโซลูชันระบบงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล Staffio และระบบจัดทำ นำส่ง และจัดเก็บข้อมูลภาษีแบบครบวงจรบนคลาวด์ Taxircle มาจัดแสดงภายในงาน โดย Staffio เป็นระบบที่รองรับงานทั้งในด้านโครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการพนักงานเป็นรายบุคคล การบันทึกเวลางาน วันลาหยุด การจัดการเงินเดือน ส่วน Taxircle จะช่วยแปลงข้อมูลจากระบบบัญชีให้กลายเป็นรูปแบบดิจิทัลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมนำส่งไปยังกรมสรรพากรและคู่ค้าได้ทันที และเก็บรักษาข้อมูลได้ปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

คุณปณต กาญจนศูนย์ หัวหน้าแผนกการตลาดและดิจิทัลโซลูชันจากจีเอเบิล เสริมอีกว่า “เราต้องการนำโซลูชันดิจิทัลเข้ามาช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการข้อมูลและระบบงานที่มีในมือได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำงานได้ง่ายขึ้น ทั้ง Staffio และ Taxircle เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ Corporate Digital Solution ของจีเอเบิล ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะงานด้าน HR และภาษีเท่านั้น แต่ยังมีโซลูชันด้านการตลาดแบบดิจิทัลแบบครบวงจรที่เพียบพร้อมด้วยระบบวิเคราะห์ข้อมูลหลากหลายรูปแบบอีกด้วย”

ทางสตาร์ทอัพไทย ฟีดแบค 180 ได้ใช้ความเชี่ยวชาญของบุคลากรฝ่ายวิจัยและพัฒนาในบริษัทมาสร้างสรรค์โซลูชัน Closed Loop Feedback ซึ่งนำ AI และ machine learning มาช่วยให้ธุรกิจได้รับรู้และเข้าใจในเสียงตอบรับจากลูกค้าในทุกช่องทางอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาระบบช่วยวิเคราะห์และตีความความคิดเห็นจากข้อความภาษาไทยที่ถูกโพสท์ลงบนโลกออนไลน์

คุณยงยุทธ ทรงศิริเดช ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการของฟีดแบค 180 เผยว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำในด้านการทำความเข้าใจในตัวลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการแยกแยะและจดจำลักษณะของลูกค้าที่แวะมาที่หน้าร้านค้าหรือสาขา หรือการเปลี่ยนกระแสเสียงตอบรับของฐานลูกค้าให้กลายเป็นข้อเสนอพิเศษที่ตรงเป้า โดยที่ลูกค้าองค์กรสามารถเลือกเติมความสามารถให้กับโซลูชัน Closed Loop Feedback ให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงได้ตามต้องการ เช่นโมดูล Social Voice ที่รองรับการวิเคราะห์ข้อความเกี่ยวกับแบรนด์หรือสินค้าที่กำหนดไว้ในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญของเราในด้านการวิเคราะห์และทำความเข้าใจภาษาด้วย AI ยังช่วยให้เราสามารถสร้างระบบคลังความรู้ภายในองค์กรแบบ Knowledge Graph ที่ค้นหาข้อมูลได้ด้วยประโยคคำถามที่เรียบเรียงแบบธรรมชาติและไม่ตายตัว”

ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน AI ของไมโครซอฟท์ได้ที่

https://news.microsoft.com/apac/features/artificial-intelligence/

นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดองค์กร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และนายแพทย์ สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมทำพิธีเปิดห้องสอนแสดง “ โครงการรู้ทัน...กันหักซ้ำ” ที่โรงพยาบาลเลิดสิน ซึ่งเป็นห้องตัวอย่างสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก  โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ และมีนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ รวมถึงมีการให้ความรู้ในการเตรียมพื้นที่สำหรับผู้สูงอายุหลังรับการฟื้นฟูจากโรงพยาบาลเมื่อกลับไปใช้ชีวิตประจำวันปกติที่บ้าน 

ห้องตัวอย่างดังกล่าวเป็นหนึ่งในโครงการความร่วมมือระหว่างพฤกษา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย และกรมการแพทย์ ที่มีการลงนาม MOU ในการร่วมกันพัฒนานวัตกรรมบ้านผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) โดยพฤกษา “ใส่ใจ” ในคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะประชากรวัยสูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่สนใจสามารถชมห้องตัวอย่างได้ที่ชั้น  17 อาคารกาญจนาภิเษก โรงพยาบาลเลิดสิน

วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติ รอบที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2562-2563 จำนวน 6 หลักสูตร 16 สาขาวิชา ระหว่างวันที่ 18 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2562 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : www.muic.mahidol.ac.th หรือติดต่อหน่วยรับสมัครฯ โทร.0-2700-5000 ต่อ 4344, 4347 อีเมล์ : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

  1. หลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต (BACHELOR OF COMMUNICATION ARTS : B.COM.ARTS)

– สาขาวิชาสื่อและการสื่อสาร (Media and Communication)

  1. หลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต (BACHELOR OF FINE ARTS : B.F.A.)

สาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ (Communication Design)

  1. หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (BACHELOR OF ARTS : B.A.)

– สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการทั่วโลก (International Relations and Global Affairs)

– สาขาวิชาวัฒนธรรมนานาชาติศึกษาและภาษา (Intercultural Studies and Languages)

  1. หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (BACHELOR OF BUSINESS ADMINISTRATION : B.B.A.)

– สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ (Business Economics)

– สาขาวิชาการเงิน (Finance)

– สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business)

– สาขาวิชาการตลาด (Marketing)

       5. หลักสูตรการจัดการบัณฑิต (BACHELOR OF MANAGEMENT : B.M.)

– สาขาวิชาการจัดการการบริการนานาชาติ (International Hospitality Management)

  1. หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (BACHELOR OF SCIENCE : B.Sc.)

- สาขาวิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ (Applied Mathematics)

– สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Sciences)

– สาขาวิชาเคมี (Chemistry)

– สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science)

– สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Science)

– สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร (Food Science and Technology)

– สาขาฟิสิกส์ (Physics) 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เดินหน้าสร้างสรรค์สังคมไทย ผ่านหลากหลายกิจกรรมส่งเสริมเยาวชนที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องภายใต้วิสัยทัศน์ “ปันความรู้สู่เด็กไทย” ล่าสุด เปิดตัวแนวคิด Explore the Future With Us” ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการส่งเสริมเยาวชนในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เยาวชนไทยออกไปค้นหาสิ่งใหม่ๆ รอบตัว พร้อมเดินหน้าล่าฝัน ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา อาชีพและความเป็นผู้นำ รวมทั้งงานด้านจิตอาสา ที่ขยายถึงทุกคนในสังคม  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเยาวชนโดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน    

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารการตลาดและสื่อสารองค์กร  บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า กว่า 60 ปีที่ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิตได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์สังคมควบคู่ไปกับการทำธุรกิจอย่างซื่อตรง โดยตระหนักถึงบทบาทความรับผิดชอบในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมไทยและยึดมั่นในปณิธานอันแน่วแน่ที่จะคืนกำไรตอบแทนสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปันความรู้สู่เด็กไทย” ให้เป็นสังคมอุดมปัญญาที่ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ริเริ่มและดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมหลากหลายรูปแบบครอบคลุมทุกมิติ

สำหรับโครงการเพื่อสังคมในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดในเรื่องการสนับสนุนเยาวชน หากแต่ดำเนินนโยบายภายใต้แนวคิดที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัทในกลุ่มอลิอันซ์ นั่นคือ การขับเคลื่อนให้เยาวชนทุกคนมุ่งค้นพบสิ่งใหม่ๆ รอบตัว ภายใต้ชื่อ “Explore the Future with Us” ที่มุ่งส่งเสริม สนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการออกเดินตามความฝันของแต่ละคนในหลากหลายมิติ อันได้แก่

1.การสนับสนุนด้านกีฬา ด้วยการเข้าเป็นผู้สนับสนุนหลักในโครงการ เอฟซี บาร์เยิร์น ยูธ คัพ ไทยแลนด์ 2019 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องสู่ปีที่ 4 มีเยาวชนกว่า 10,000 คนเข้าร่วมโครงการนี้มาแล้ว ถือเป็นการสนับสนุนเยาวชนไทยไปสู่สังเวียนลูกหนังระดับโลก แทนที่โครงการ “อลิอันซ์ จูเนียร์ ฟุตบอล แคมป์” นอกจากนั้น บริษัทฯก็ยังคงสานต่อโครงการ “อลิอันซ์ อยุธยา สานฝัน ปันสนามฟุตบอลให้น้อง” จัดเป็นปีที่ 5 โดยที่ผ่านมาได้ทำการปรับปรุงสนามฟุตบอลมาแล้วทั้งหมด 28 แห่ง เข้าถึงเยาวชนไทยกว่า 10,000 คน ทั่วประเทศ ด้วยงบประมาณกว่า 11.5 ล้านบาท และปีนี้ ตั้งเป้าปรับปรุงสนามต่ออีก 4 แห่ง ที่จังหวัด ลำปาง หนองคาย กาญจนบุรี และชัยนาท

2. การสนับสนุนด้านอาชีพและความเป็นผู้นำ ผ่านโครงการ “อลิอันซ์ อยุธยา พาน้องเที่ยวบางกอก” โดยนำนักเรียนชั้น ป.5 สังกัดกรุงเทพมหานครไปเรียนรู้นอกห้องเรียนและได้ประสบการณ์จริงจากการไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ถือเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้โดยตรงให้กับนักเรียน และยังต่อยอดด้วยโครงการยุวมัคคุเทศก์ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่สนใจได้เรียนรู้ฝึกฝนและปฏิบัติงานเป็นยุวมัคคุเทศก์ นำชมสถานที่สำคัญทางประวิติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน มีเยาวชนที่เข้ารับการอบรมในหลักสูตรและได้ทำงานเป็นมัคคุเทศก์ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไปแล้วกว่า 200 คน

นอกจากนั้นผ่าน ยังได้จับมือกับกลุ่ม Music Sharing และ พันธมิตร จัดโครงการดนตรีเปลี่ยนชีวิต Music Change Children’s Lives  เป็นโครงการที่นำดนตรีเข้ามาเปลี่ยนชีวิตเด็ก เยียวยาจิตใจให้มีความสุขและสามารถประกอบเป็นอาชีพได้ในอนาคต ซึ่งโครงการนี้ บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากกลุ่ม Music Sharing ครูดนตรีอาสาจัดสอนดนตรีทุกวันศุกร์ช่วงบ่ายตลอดปี ณ สถานแรกรับเด็กชาย (บ้านภูมิเวท) โครงการนี้ได้รับการคัดเลือกจากกลุ่มอลิอันซ์ระดับโลกมอบทุน Social Innovation Fund จำนวน 50,000 ยูโร หรือประมาณ 2 ล้านบาท นำไปพัฒนาศักยภาพเด็กๆ ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และเด็กด้อยโอกาสต่อเนื่อง 3 ปี

3. การสนับสนุนด้านจิตอาสา โดยระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งพนักงาน ตัวแทนประกัน ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านการบริจาค มุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทำความดีในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น งานวันเด็กแห่งชาติ การช่วยเหลือนักเรียนผู้ประสบภัย การบริจาคโลหิต ร่างกายและอวัยวะ กิจกรรมระดมทุนเพื่อมอบรายได้ให้กับมูลนิธิและองค์กรการกุศล เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา จากกิจกรรม อลิอันซ์ อยุธยา ชาริตี้ฟันแฟร์ และการระดมทุนจัดจำหน่ายสินค้า เพื่อมอบรายได้ให้กับมูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการที่โดดเด่นที่สุดในปีที่ผ่านมา คือ การจัดกิจกรรมเปลี่ยนโรงหมูให้เป็นโรงเรียนรู้ ซึ่งเป็นการรวมพลังของทุกฝ่ายปรับเปลี่ยนโรงหมูในชุมชนคลองเตยให้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมของเด็กในชุมชน ซึ่งนับว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนและยังช่วยพัฒนาศักยภาพเด็กในพื้นที่คลองเตย สร้างภาวะผู้นำ และสร้างความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคมของผู้คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี

“ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานจนถึงปีที่ 68 และปัจจุบันได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในบริษัทประกันชั้นนำที่นอกจากจะเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตและสุขภาพแล้ว เรายังได้พิสูจน์แล้วว่า ในการดำเนินธุรกิจของเรา เราไม่ได้มุ่งแสวงหาแต่กำไรเพียงอย่างเดียว หากแต่เรายังได้ให้ความสำคัญกับการริเริ่มกิจกรรมสร้างสรรค์และส่งเสริมสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมที่เราทำอย่างยาวนานและตั้งใจจริง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กไทยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้พัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน” นางสาวพัชรา กล่าวทิ้งท้าย

มร.ฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และนายบัณฑิต  เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ร่วมฉลองความสำเร็จภายใต้ความร่วมมือของสองพันธมิตรในงาน KKGEN BEST IN CLASS ANNUAL AWARDS 2018 ในการมอบรางวัลสุดยอดทีมขาย KKGEN ประจำปี 2018 ประกอบด้วยรางวัลผลงานเบี้ยประกันชีวิตยอดเยี่ยมระดับภาค  ระดับเขต ระดับสาขา และระดับบุคคล  พร้อมกันนี้ นายมานิตย์ วรรณวานิช ประธานสายเครือข่ายการขายและบริการ ธนาคารเกียรตินาคิน  ได้ประกาศภารกิจเป้าหมายปี 2019  และ มร.แซมดาชิ สุมิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันภัย (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายช่องทางธุรกิจรายย่อย กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ได้เผยกลยุทธ์ด้านการขายและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าธนาคารฯ เพื่อสนับสนุนและสร้างความเชื่อมั่นในการพิชิตเป้าหมายปี 2019 ต่อไป โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมพูลแมน แกรนด์ สุขุมวิท เมื่อเร็วๆ นี้

เจมาร์ทฉลองครบรอบ 30 ปี จัดแคมเปญใหญ่ขอบคุณลูกค้า ภายใต้ชื่อ “เจมาร์ท จัดเต็ม ดูแลเครื่อง ดูแลคุณ ลุ้นโชคใหญ่” นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART กล่าวว่า “บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ของกลุ่มเจมาร์ทได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของบริษัทฯ ในปีนี้อย่างมั่นคง ในโอกาสนี้ เจมาร์ทจึงต้องการตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านบริการที่แตกต่างและมอบสิทธิประโยชน์ที่พิเศษเหนือกว่าใครให้แก่ลูกค้า ทั้งยังเป็นการแสดงความขอบคุณแก่ลูกค้าที่ไว้ใจในแบรนด์ Jaymart มาเสมอ ด้วยการออกแคมเปญ เจมาร์ท จัดเต็ม ดูแลเครื่อง ดูแลคุณ ลุ้นโชคใหญ่ โดยมอบสิทธิประโยชน์ ได้แก่ การรับประกันความพึงพอใจเปลี่ยนเครื่องได้ใน 30 วัน และประกันอุบัติเหตุทั้งเครื่องโทรศัพท์และตัวบุคคล พร้อมลุ้นโชคทองคำหนัก 30 บาท และรับคะแนน Enjoy Card 30 เท่า ทุกวันที่ 30 และแจก 30 เหรียญ JFIN โดยมีระยะเวลาแคมเปญตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ถึง 9 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์ Synergy ที่เป็นการผสานจุดแข็งทางธุรกิจของบริษัทต่างๆ ในกลุ่มเข้าด้วยกัน โดยในครั้งนี้ได้เป็นการรวมพลังกันระหว่างบริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด บริษัท เจพี ประกันภัย  จำกัด (มหาชน) และบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด จึงทำให้เจมาร์ทสามารถสร้างความแตกต่างของข้อเสนอเพียงหนึ่งเดียวให้กับลูกค้าได้”

เจมาร์ทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแคมเปญนี้จะช่วยนำคำขอบคุณและความห่วงใยของพวกเราไปยังลูกค้าของเราทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี และในโอกาสที่เราครบรอบ 30 ปี เจมาร์ทขอให้คำมั่นว่าจะเดินหน้านำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและบริการมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และด้วยกลยุทธ์การ Synergy จุดแข็งในแต่ละธุรกิจของพวกเรา ผู้บริโภคจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่พิเศษไม่เหมือนจากที่ไหน นายอดิศักดิ์ กล่าวเสริม

นายดุสิต สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด กล่าวว่า “จากการออกแคมเปญใหญ่ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Jaymart Lifetime Warranty การรับประกันโทรศัพท์มือถือตลอดอายุการใช้งาน และ Jaymart We Care ดูแลเครื่อง ดูแลคุณ ที่มอบสิทธิประโยชน์ให้การคุ้มครองโทรศัพท์มือถือไปพร้อมกับประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ซึ่งเป็นครั้งแรกของตลาดโทรศัพท์มือถือที่มีการให้สิทธิประโยชน์รูปแบบนี้กับผู้บริโภค และทั้งสองโปรแกรมก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า และเชื่อมั่นว่าแคมเปญ 30 ปีที่ได้ผนวกสิทธิประโยชน์มากมายหลายๆ ด้าน ทั้งด้านประกันภัย กิจกรรมการลุ้นทอง และสิทธิประโยชน์อื่นๆ จะทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า และช่วยผลักดันยอดขายในไตรมาสสองในปีนี้เมื่อเทียบกับไตรมาสสองในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 25%

โดยแคมเปญนี้ได้จับมือกับพันธมิตรโทรศัพท์มือถือแบรนด์ชั้นนำจำนวนมาก อาทิ iPhone, Samsung, Huawei, Oppo, Vivo และ Wiko รวมถึงการทำแคมเปญ Exclusive ร่วมกับ AIS ซึ่งลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อสินค้าได้ที่ร้านเจมาร์ท และแบรนด์ชอปที่บริหารโดยเจมาร์ทที่มีกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงการซื้อทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.jaymartstore.com

ด้านนายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ผู้อำนวยการบริหารสายงานการตลาด บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แคมเปญคืนกำไรให้กับลูกค้าในโอกาสฉลองครบรอบ 30 ปี ภายใต้สโลแกน เจมาร์ท จัดเต็ม ดูแลเครื่อง ดูแลคุณ ลุ้นโชคใหญ่ จะเป็นการตอบแทนลูกค้าแบบเต็มๆ ได้แก่ การรับประกันความพึงพอใจ ไม่พอใจ หรือเครื่องเสีย สามารถเปลี่ยนได้ใน 30 วัน สำหรับลูกค้าที่ซื้อโทรศัพท์มือถือในราคาตั้งแต่ 5,000 บาท ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ถึง 9 กรกฎาคม 2562 พร้อมรับฟรีประกันอุบัติเหตุกับเครื่อง คุ้มครองค่าซ่อมสูงสุด 5,000 บาท พร้อมรับฟรีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล โดยมีค่าชดเชยรักษาพยาบาล 2,000 บาทต่อครั้ง และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ตลอดระยะ เวลา 180 วัน นอกจากนี้ลูกค้าจะได้รับสิทธิ์ลุ้นทองคำหนักรวม 30 บาท โดยการจับรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ และเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับลูกค้าบัตรสมาชิก Enjoy Card ในวันที่ 30 ของเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน จะได้รับคะแนนสะสมแบบคูณ 30 ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป และพิเศษสำหรับงานเปิดตัวในวันนี้ได้เชิญลูกค้าสมาชิก Enjoy Card 30 ท่านที่อยู่กับเรามานานและมีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง อัพเกรดเป็น Enjoy Card Platinum พร้อมรับคะแนน 30,000 คะแนนและสิทธิพิเศษอีกมากมาย นอกจากนี้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบ 2 หมื่นบาท รับฟรีทันที 30 เหรียญ JFIN โดยสามารถนำ 30 JFIN มาแลกรับอุปกรณ์เสริมได้ นอกจากนี้ยังได้จัดเตรียมการประมูลสมาร์ทโฟนอีก 30 เครื่อง โดยจะเริ่มการประมูลวันแรกในวันที่ 9 เมษายน ผ่านแอพพลิเคชั่น VFIN”

“แคมเปญนี้จะเป็นอีกแคมเปญหนึ่งที่สร้างความแตกต่างและตอบ Pain Point ของลูกค้า และจะช่วยในการสร้างแบรนด์เจมาร์ทให้เป็นผู้นำทางด้านการให้บริการและข้อเสนอเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ลูกค้า สำหรับกิจกรรมข่าวสารติดตามได้ที่ www.facebook.com/jaymartthailand” นายนราธิป กล่าวทิ้งท้าย

“พณชิต กิตติปัญญางาม” ผอ. DPU X  เผย รัฐ-เอกชน ตื่นตัวเทคโนโลยีใหม่ เตรียมเปิดหลักสูตร  “Geeks on The Block Chain”  ปลุกวงการ Developer แต่งตัวให้พร้อมช่วยองค์กรพัฒนาธุรกิจ 

ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้อำนวยการสถาบัน DPU X โดย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และนายกสมาคม Thailand Tech Startup Association (สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่) เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเริ่มมีการตื่นตัวกันมากในการนำเทคโนโลยี BlockChain มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการจัดการข้อมูล โดยเฉพาะภายในระยะเวลา อีก 5 ปีนับจากนี้จะเห็นคุณค่าของ BlockChain เพิ่มมากขึ้นเหมือนกับในอดีตที่เริ่มมีอินเตอร์เน็ต ทุกคนมองคุณค่าของอินเตอร์เน็ตไม่ออก ต่อมาเมื่อมีคนเริ่มสร้างแอพพลิเคชั่นต่างๆ มีการส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนเริ่มเห็นพลังของอินเตอร์เน็ต  เช่นเดียวกันวันนี้ผู้คนกำลังอยู่บนโลกของดิจิตอลกันมากขึ้น Block Chain ที่ทำหน้าที่ส่งผ่านมากกว่าเพียงข้อมูล แต่ส่ง "คุณค่า" ไปด้วย  จะทำให้เกิดฝาแฝดของสิ่งต่างๆในโลกดิจิตอล ช่วยให้ Interaction หรือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันบนโลกดิจิตอลมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น 

ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนในเทคโนโลยี BlockChain มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่แสดงความสนใจทั้งด้านการวิจัยพัฒนาระบบและการร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ เนื่องจากธุรกรรมต่างๆที่ต้องใช้ตัวกลาง (บุคคลที่สาม) จะได้รับผลกระทบค่อนข้างชัดเจนหลังเทคโนโลยี Block Chain เข้ามาจัดการการแลกเปลี่ยนต่างๆ  ยิ่งไปกว่านั้น จากการสำรวจของ World Economic Forum (WEF) คาดว่า ภาครัฐของประเทศต่างๆ จะนำร่องประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ก่อนภายในปี 2023 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า และจะนำมาใช้อย่างแพร่หลายภายในปี 2027 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า

ดังนั้นช่วงเวลาของการเตรียมพร้อมรับมือกับการมาของ เทคโนโลยี BlockChain จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากขององค์กรต่างๆ หลายองค์กรเริ่มมองเห็นคุณค่า ของ BlockChain ที่มีระบบเข้ามาช่วยจัดการข้อมูล จึงนำมาซึ่งการตื่นตัวและเริ่มนำ  Block chain มาใช้กันเพิ่มมากขึ้น  นับเป็นสัญญาณที่ดีให้กับวงการ Developer เพราะผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจการทำงานบนระบบ Decentralized จะสามารถมองเห็นภาพและพัฒนา Application ในอนาคตได้ เนื่องจากโครงสร้างและสถาปัตยกรรมจะเปลี่ยนไป เป็นแบบ Decentralized ด้วย Blockchain  เช่น แนวคิด World Computer ของ Ethereum

ล่าสุด ทาง DPU X สถาบันเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการและบุคลากรแห่งอนาคต ได้ร่วมมือกับ Smart Contract Thailand พร้อมด้วยวิทยากรรับเชิญจาก KBTG ได้จัดหลักสูตร “Geeks on The Block(Chain)” หรือ Block Chain Camp for Developers  batch  1 ครั้งแรกของประเทศ เป็นหลักสูตรที่เน้นการพัฒนาเชิง Technical ด้าน Block Chain ที่เข้มข้นที่สุดในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ภูมิ ภูมิรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Block Chain ระดับแนวหน้าของประเทศและผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการรักษาความปลอดภัยในโลกโซเชียล รวมถึงทีม Smart Contract Thailand และทีม KBTG มาร่วมออกแบบ และดูแลหลักสูตรดังกล่าวนี้

ดร.พณชิต กล่าวด้วยว่า นอกจากการเรียนรู้ด้านพื้นฐานและแนวความคิดระบบ Block Chain ในหลักสูตรนี้แล้ว ผู้เข้าอบรมจะได้ลงมือเขียนโค้ด จากโจทย์จริงด้วย จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้เข้ารับการอบรมที่จะได้มีโอกาสฝึกการคิดค้น แก้ปัญหาให้ตรงจุด และเพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้หลักสูตรยังได้มีการจัด Public Code Review เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เข้าอบรมท่านอื่นๆ, วิทยากร, Commentator ผู้เชี่ยวชาญ, องค์กรภาครัฐและเอกชน รวมถึง Developer ท่านอื่นๆที่มีความสนใจ

ดร.พณชิต กล่าวอีกว่า หลักสูตรดังกล่าวนี้ทาง DPUX เตรียมเปิดอบรมระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2562 ผู้เข้ารับการอบรมจนสำเร็จจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ตลอดจนใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองหรือองค์กรต้นสังกัดเพื่อเป็น Developer ที่มีความพร้อมด้าน Block Chainอย่างแท้จริงผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่  http://dpux.dpu.ac.th/geeksontheblock/register/batch1  

ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมด้านการเรียนรู้ของบุคคลและด้านการบริหารจัดการองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องมีผลกระทบต่อสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย  นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร

ซีพี ออลล์ คิกออฟงาน “วันแห่งโอกาสดี @ CP ALL” เพื่อมอบหลากหลายโอกาสทั้งด้านธุรกิจ อาชีพ และการศึกษา ให้กับคนไทยทุกภาคส่วนของสังคม พร้อมจัดกิจกรรมพิเศษ ทั้งการสัมมนา เสริมความรู้ด้านการค้าขาย และการตลาดโดยผู้เชี่ยวชาญและ SME ที่ประสบความสำเร็จใน การทำธุรกิจกับเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอีไทยยั่งยืน 2561 การจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษจากผู้ประกอบการ SME และสินค้าเกษตรกว่า 250 บูธ

นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศไทย เปิดเผยว่า งาน “วันแห่งโอกาสดี @ CP ALL” จัดขึ้นตามปณิธานขององค์กรที่ต้องการสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน โดยในงานนี้จะมีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อมอบโอกาสในมิติต่างๆ ทั้งโอกาสทางธุรกิจ โอกาสทางอาชีพ และโอกาสทางการศึกษา

โดย โอกาสทางธุรกิจ จัดให้มีบูธเจรจาธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SME และเกษตรกร ที่สนใจจะนำสินค้ามาจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง (24 shopping) และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเป็นผู้ร่วมธุรกิจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น รวมทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อยที่สนใจรับงาน สามารถขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง

ทางด้าน โอกาสทางอาชีพ จัดให้มีบูธรับสมัครงานของซีพี ออลล์ และบริษัทในกลุ่ม ที่มาเปิดรับ ผู้ที่จบการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 6 ถึงปริญญาเอก ในตำแหน่งต่าง ๆ กว่า 35,000 อัตรา อาทิ วิศวกรเว็บมาสเตอร์, ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง, นิติกร, เภสัชกร, เชฟ, เจ้าหน้าที่บัญชี และพนักงานประจำร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ เป็นต้น

สำหรับ โอกาสทางการศึกษา จัดให้มีบูธรับสมัครนักเรียน นักศึกษาเพื่อศึกษาต่อระดับ ปวช. ปวส. ของวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และระดับอุดมศึกษาในสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ สาขาต่าง ๆ ได้แก่ บริหารธุรกิจ, วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี, ศิลปศาสตร์, นิเทศศาสตร์, นวัตกรรมการจัดการเกษตร และการจัดการโลจิสติกส์และการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น และสมัครขอรับทุนการศึกษา

นอกจากนี้ ยังมีการ เติมความรู้ในการทำธุรกิจออฟไลน์และออนไลน์ ให้กับ SME และผู้สนใจฟรี อาทิ การสัมมนาเรื่อง “ธุรกิจ SME กลยุทธ์วางแผนการตลาดขั้นเทพ” โดย รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา  “ฉีกกฎการตลาด SME ยุคใหม่” โดย นายนราธิป อ่ำเที่ยงตรง “การสร้างแบรนด์ SME ให้ดังบนโลกโซเชียล” โดย  โซอี้-ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์  “ถอดรหัสความสำเร็จ SME” โดยเจ้าของธุรกิจ SME ที่ขายผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และ ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง (24 shopping) อาทิ เกษตรกรรุ่นใหม่ผู้ปลูกกล้วยหอมทอง, เจ้าของน้ำพริกป้าแว่น, เจ้าของเครื่องสำอางสมูทโตะ,  ผู้ร่วมธุรกิจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และ “จะขายสินค้ากับ 7-11 ต้องทำอย่างไร” โดยวิทยากรจากซีพี ออลล์ รวมทั้งยังมีทอล์คโชว์เรื่อง “ราศีปังธุรกิจรุ่งกับหมอช้าง” โดย อ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา และทอล์คธรรมเรื่อง “ธรรมะยุค 4.0” โดยพระมหาสมปอง

ภายในงานยังมี พิธีมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอีไทยยั่งยืน 2561 ซึ่งซีพี ออลล์ ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางแลขนาดย่อม สมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย และบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด จัดขึ้น เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการ SME และช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ SME มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ สามารถแข่งขันในช่องทางการค้าที่หลากหลาย และเป็นต้นแบบให้กับ SME รายอื่นที่จะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้ในยุคดิจิทัล โดยการประกวดแบ่งออกเป็น 9 ประเภท ได้แก่ SME ยั่งยืน, SME ยอดเยี่ยม, SME ดาวรุ่ง, SME สินค้าเกษตร, SME ส่งเสริมผู้ประกอบการชุมชน, SME ความคิดสร้างสรรค์, SME ผลิตภัณฑ์สุขภาพ, SME ยั่งยืนด้านพัฒนาอุปกรณ์และก่อสร้างร้านสาขา และ SME ด้านงานระบบวิศวกรรม

อีกหนึ่งไฮไลต์ในงานนี้ คือ การจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ จากผู้ประกอบการ SME และสินค้าเกษตร รวมกว่า 250 บูธ ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ประกอบการมีช่องทางจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ผู้บริโภคยังได้เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพในราคาพิเศษด้วย

“ซีพี ออลล์ เติบโตมาถึงทุกวันนี้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทุกคนมาตลอด 30 ปี ปัจจุบันเรามีร้านเซเว่น อีเลฟเว่นกว่า11,000 สาขา มีผู้ใช้บริการกว่า 12 ล้านคนต่อวัน ซีพี ออลล์ จึงต้องการตอบแทนคนไทยและสังคมไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ ได้มอบโอกาสด้านธุรกิจ ด้วยการทำให้ผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรหลายหมื่นคนได้มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าไปทั่วประเทศ มอบโอกาสให้ผู้รับเหมาก่อสร้างได้มีงานทำ มอบโอกาสให้ผู้สนใจได้ร่วมธุรกิจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีความมั่นคง มอบโอกาสทางอาชีพด้วยการจ้างงานกว่า 170,000 อัตรา นับเป็นองค์กรที่มีการจ้างงานมากที่สุดในประเทศไทย และมอบทุนการศึกษาไปแล้วกว่า 47,000 ทุน รวมกว่า 4,000 ล้านบาท โอกาสในด้านต่าง ๆ ที่ซีพี ออลล์ มอบให้เพื่อต้องการเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น งานวันแห่งโอกาสดี @CP ALL ที่จัดขึ้นครั้งนี้  จึงนับเป็นการมอบโอกาสจากซีพี ออลล์ ครั้งสำคัญ โดยรวบรวมโอกาสในทุก ๆ มิติ มาไว้ในที่เดียว” นายก่อศักดิ์ กล่าว   

X

Right Click

No right click