LUXRIVA RESIDENCES (ลักซ์ริว่า เรสซิเดนซ์เซส) นครศรีธรรมราช แบรนด์โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่โครงการแรก ของบริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND ภายใต้แนวคิด Modern-Tropical Luxury  Living นิยามใหม่ เหนือระดับแห่งการใช้ชีวิต’ โดยชูจุดเห็นที่สุดคือ ทำให้ผู้พักอาศัยผ่อนคลายสัมผัสความรู้สึกร่มเย็น ความสุขในการอยู่บ้าน ด้วยชูดีไซน์การออกแบบโมเดิร์นแบบที่หลายคนรู้จักกัน ผสมผสานเอกลักษณ์ระหว่างศิลปวัฒนธรรมไทย และ วัฒนธรรมท้องถิ่นของภาคใต้ โดยศิลปินนักออกแบบระดับประเทศ ร่วมนำเสนอภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เข้ากับความร่วมสมัย พร้อมประยุกต์ดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ให้เข้ากับสภาพอากาศในประเทศเขตร้อนชื้น ทำให้ผู้พักอาศัยมีสภาวะความเป็นอยู่ที่สบายที่สุด เริ่มตั้งแต่การออกแบบที่คำนึงถึงทิศทางของแดด ลม ฝน ความปลอดโปร่ง ส่งผลให้กระแสลมพัดผ่านง่าย ทำให้ความร้อนในอากาศถูกระบายออกได้ดี ปักธงหรูที่สุดในจังหวัด ราคาเริ่มต้น 12 - 20 ล้านบาท*

LUXRIVA RESIDENCES นครศรีธรรมราช พร้อมแล้วสำหรับการเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างอย่างเป็นทางการครั้งแรก ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมกิจกรรมภายในงานต้อนรับลูกค้าคนพิเศษ รอบ VVIP สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ในวันที่ 17 – 18 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 – 18.00 น.* ณ โครงการ LUXRIVA RESIDENCES  นครศรีธรรมราช

ลงทะเบียนเข้าชมบ้านตัวอย่างก่อนใครได้ที่ https://bit.ly/3UkPRks

  • ชมบ้านตัวอย่างสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ครบทุกประเภท*
  • อิ่มเอมกับอาหารและเครื่องดื่มสุดพิเศษ Cocktail Table รังสรรค์จากเชฟชื่อดัง*
  • รับสิทธิพิเศษโปรโมชั่นและของที่ระลึกที่จัดให้ลูกค้าคนสำคัญในรอบ VVIP โดยเฉพาะ*

***สงวนสิทธิ์สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าเท่านั้น***

สำหรับ LUXRIVA RESIDENCES ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพรายล้อมด้วย Mixed-Use Community บน ถ.พัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช  มีเนื้อที่รวม 44 ไร่ จำนวน 115 ยูนิต โดยมีประเภทของบ้าน 3 แบบ ได้แก่

  • Type A: Ashley - แอชลี่ย์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 285 ตร.ม. เนื้อที่ดินเริ่มต้น 82 ตร.ว.
  • Type B: Berkley - เบิร์กลี่ย์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 360 ตร.ม. เนื้อที่ดินเริ่มต้น 100 ตร.ว
  • Type C: Clara - คลาร่า ขนาดพื้นที่ใช้สอย 465 ตร.ม. เนื้อที่ดินเริ่มต้น128 ตร.ว

การออกแบบดีไซน์แสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติ ความร่มเย็นของโครงการที่มีจุดเด่น คือ เพดานบ้านสูง (Double Volume) บริเวณ Living Area ทุกหลัง อากาศหมุนเวียน ถ่ายเทสะดวก ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง โล่งสบาย กว้างขวาง สว่าง สง่างาม และโดดเด่น โถสุขภัณฑ์แบบ Smart Toilet ที่จอดรถกว้างสามารถจอดได้สะดวก รับประกันโครงสร้างบ้าน 10 ปี*

นอกจากนี้พื้นที่ส่วนกลางอย่าง Clubhouse มี THE COMMON ที่เป็น Co-Kitchen ลูกบ้านสามารถมาใช้พื้นที่สำหรับทำอาหาร จัดงานเลี้ยงปาร์ตี้สังสรรค์มีห้อง RIVA LOUNGE ที่เป็น Co-Working Space หรือ Living Area ใช้สำหรับนั่งเล่น นั่งทำงาน ประชุมงาน มีห้อง ACTIVE SPACE ที่เป็น Gym และ Yoga Studio สระว่ายนํ้ากลางแจ้ง กว้างถึง 5 เมตร ยาว 25 เมตร พร้อม Sunbathe และพื้นที่ Outdoor Lounge สวนขนาดใหญ่ มีพื้นที่สีเขียวเยอะ พร้อม Sunken Seat, Amphitheater, Children’s Playground Zone และ Jogging Area

ราคาพิเศษเหลือเพียง 13,990 บาท จากราคาปกติ 17,990 บาท พร้อมของสมนาคุณเพียบ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2567

แพลตฟอร์มที่สร้างโอกาสให้ครีเอเตอร์ไทย ธุรกิจไทย และคอมมูนิตี้ไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

นำทีมพนักงานทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่บางกระเจ้า

นายพีระพงศ์  พิตรพิบูลพาทิศ ผู้บริหารสูงสุดสายงานสำนักกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม บริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL)  และบริษัท วินเพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด จะจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี วันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2567 ระหว่างเวลา 09.00 น. – 15.00 น. ณ ห้องประชุมวิวัฒนไชย ชั้น 8 อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ เพื่อเปิดเวทีให้ลูกหนี้เคทีซีและ KTBL ได้มีโอกาสเจรจาชำระหนี้ โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยจากกรมบังคับคดีเป็นคนกลางในการหาแนวทางยุติคดี โดยลูกหนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงเตรียมเอกสารประกอบการเจรจาในวันงาน ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชนพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง หรือหากมอบอำนาจไกล่เกลี่ยแทน ขอให้จัดเตรียมสำเนาบัตรประชาชนผู้ใช้บัตรและผู้รับมอบอำนาจพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง และหนังสือมอบอำนาจ

 

ผู้สนใจสามารถสมัครลงทะเบียนเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยกรุงเทพฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2566 -วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567  หรือติดต่อแผนกประนอมหนี้ โทร. 02-631-3399 , 02-631-3668

จากข่าวคลิปดัง พาสิงโตนั่งรถชมวิว องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก World Animal Protection เห็นถึงกระแสโซเชียลมีเดียที่พร้อมจับตาและตรวจสอบการเลี้ยงสัตว์ป่า สะท้อนถึงความตระหนักของสังคมที่ร่วมต่อต้านการเลี้ยงสัตว์ป่าซึ่งสอดคล้องกับการทำงานขององค์กรฯ ที่เชื่อมั่นว่า “สัตว์ป่าควรมีชีวิตอยู่ในป่า และไม่ควรถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง” สัตว์ป่าเกิดมาพร้อมสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่รักอิสระจึงไม่เหมาะที่จะถูกเอามาเลี้ยงไว้ที่บ้านหรือสถานที่จำกัด ซึ่งส่งผลให้สัตว์ป่าเหล่านี้ถูกจำกัดไม่ให้สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้ ทำให้สัตว์ป่าเหล่านี้เกิดความเครียด และส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังต้องเผชิญความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonoses) ดังที่เคยเกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019

นิค สจ๊วร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก กล่าวว่า “เหตุการณ์ทารุณกรรมสัตว์ป่าครั้งนี้ สร้างโอกาสให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายไทยได้อย่างเต็มที่ เพราะสัตว์ป่าไม่ใช่สิ่งของ สิงโตและสัตว์ป่าก็ต่างมีความรู้สึก ปัจจุบันนี้สัตว์ป่าถูกเพาะพันธุ์และขายเพื่อหากำไร ทั้งเพื่อนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงรวมถึงเพื่อกิจกรรมล่าสัตว์ป่า การนำสัตว์ป่ามาเป็นส่วนประกอบของยาแผนโบราณ นำซากสัตว์ป่ามาโชว์ ฯลฯ องค์กรฯ กำลังเรียกร้องให้ยุติการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อหากำไร และเหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลทั่วโลกจะต้องเร่งดำเนินการและปกป้องสัตว์ป่าจากการแสวงหาผลกำไรที่โหดร้าย”

“องค์กรฯ และผู้สนับสนุนของเราไม่สนับสนุนการผสมพันธุ์สัตว์ป่าเชิงพาณิชย์ ตลอดจนการนำสัตว์ป่าเหล่านั้นมาใช้งานอย่างโหดร้ายทารุณ ผิดธรรมชาติของสัตว์ป่า ที่เห็นได้ชัดคือการแสดงโชว์สัตว์ป่าตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวต่างชาติรวมไปถึงคนไทยต่างตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดกระแสต่อต้านการเลี้ยงสัตว์ป่าที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง”

องค์กรฯ เห็นถึงความใส่ใจ และการทำงานอย่างรวดเร็วของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อตรวจยึดสิงโตสองตัวที่ปรากฎในข่าว อย่างไรก็ตามองค์กรฯ ยังคาดหวังที่จะได้เห็น กรมอุทยานแห่งชาติฯ เร่งเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สาธารณชนได้ตระหนักถึงบทลงโทษของการครอบครองสัตว์ป่าโดยผิดกฎหมาย เข้าใจขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนได้เห็นสภาพความเป็นอยู่และสวัสดิภาพสัตว์ป่าที่ถูกยึดตามขั้นตอนทางกฎหมาย ที่เหมาะสมกับสัญชาตญาณของสัตว์ป่า

ชูเส้นทางเดินเที่ยวย้อนรอยวันวานย่านสุดคูลกับทริป “ทรงวาด...ที่วาดไว้ในความทรงจำ”

การเลี้ยงลูก Gen Alpha” หรือเด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟาไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเด็กเจนนี้เติบโตมาในโลกที่รายล้อมไปด้วยเทคโนโลยี และความรู้ต่าง ๆ มากมาย ทำให้มีความเป็นตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์กว่าเด็กรุ่นก่อน และต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านการศึกษาที่สูงขึ้น เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่รับมือได้ทัน วันนี้ GEN HEALTHY LIFE  มีเคล็ดลับการวางแผนการศึกษาให้ลูก Gen Alpha ตั้งแต่ก้าวแรกให้เติบโตอย่างมั่นคง มีความสุข และพร้อมก้าวสู่วัยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ      

ข้อแรก “กำหนดเป้าหมาย” มองหาสถานศึกษาให้ลูกตั้งแต่ชั้นอนุบาล ว่าอยากให้ลูกเรียนหลักสูตรไหน ซึ่งในประเทศไทยตอนนี้ มีโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชน ที่มีหลักสูตรไทย หลักสูตรสองภาษา และหลักสูตรนานาชาติ ให้เลือกเรียน ซึ่งนอกจากหลักสูตรการเรียนที่ไม่เหมือนกัน ยังมีเรื่องของแนวทางการสอน สังคม รวมถึงค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย      

เมื่อคุณพ่อคุณแม่กำหนดโรงเรียนให้ลูกได้แล้ว ลำดับต่อมาเข้าสู่ขั้นตอนการ “ประมาณค่าใช้จ่าย” นำค่าเทอมทั้งหมดที่ลูกจะเรียนมารวมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น ค่าสันทนาการ เรียนพิเศษ กิจกรรมพิเศษ หนังสือ อุปกรณ์การศึกษา เป็นต้น ซึ่งให้ลองตั้งไว้ที่ 20-30% ของค่าเทอมต่อปี    

จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนที่สำคัญ คือ “วางแผนการออม-การลงทุน” คุณพ่อคุณแม่ที่มีรายได้ประจำ สามารถนำรายได้มาออมให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาลูกได้ทันที แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่บางรายที่พิจารณาแล้วรายได้อาจไม่เพียงพอ ต้องนำเงินบางส่วนมาลงทุนเพื่อให้มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นอาจจะออมเงินในลักษณะกองทุนหรือหุ้น นอกจากเพื่อการศึกษาของลูกแล้วยังสามารถเก็บสำรองไว้ในยามฉุกเฉินได้อีกด้วย    

สุดท้าย “ประเมินความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา” เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะกระทบกับการเงินของครอบครัวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงอยู่เสมอ และควรวางแผนด้านการเงินให้เพียงพอเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากการออมและการลงทุนแล้ว ซึ่งอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจคือการสร้างความมั่นคงด้วยการเพิ่มทุนในประกันชีวิต เป็นต้น

เทคนิคดังกล่าวข้างต้นนอกจากจะช่วยวางแผนด้านการศึกษาให้ลูกน้อยได้แล้ว ยังสามารถนำไปปรับใช้ในการวางแผนการออมเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงได้อีกด้วยเช่นกัน สำหรับใครที่ต้องการข้อมูลด้านการออมและการลงทุนผ่านประกันชีวิตสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่  Gen Healthy Life   

จับความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของการตลาด

LEARN Corporation ผู้นำด้าน Lifelong Learning EdTech ตระหนักถึงแนวทางการเรียนรู้ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงส่ง OnDemand และ Learn Education บริษัทในเครือฯ ร่วมมือกับภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนางานด้านวิชาการให้มีคุณภาพทัดเทียมนานาชาติ และเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้เรียน

นายนนทกร ช่อสีดำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวิชาการ บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารงานด้านวิชาการและเป็นตัวแทนจาก บริษัท ออนดีมานด์ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด และบริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ร่วมกับรองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช สุชีวะ คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกความเข้าใจ “ความร่วมมือทางวิชาการ” เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับองค์ความรู้ทางวิชาการระหว่างองค์กร สร้างพื้นที่ฝึกประสบการณ์การเรียนรู้แก่นิสิตนักศึกษา และเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของอาจารย์ผู้สอน ตลอดจนสนับสนุนให้นักวิชาการได้พัฒนางานวิจัยหลักสูตรการศึกษาให้เทียบเท่าสากล โดยแบ่งเป็นความร่วมมือ 3 ด้าน ได้แก่

  1. ด้านวิชาการ - สนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อัปเดตเทคโนโลยีการเรียนรู้และข้อมูลวิชาการ พร้อมกับเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการเพื่อพัฒนาศักยภาพองค์กรและงานวิชาการร่วมกัน
  2. ด้านการส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนและนิสิตนักศึกษา - สนับสนุนการศึกษาดูงานระหว่างองค์กร การฝึกงานของนิสิตนักศึกษา หรือการแลกเปลี่ยนวิทยากรระดับองค์กร เพื่อสร้างการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ผลักดันให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการวิเคราะห์และต่อยอดได้
  3. ด้านการวิจัยและการพัฒนาองค์ความรู้ - ร่วมพัฒนางานวิจัยทางวิชาการหรือนวัตกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เครื่องมือ ฐานข้อมูล และพื้นที่ปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์งานวิจัยที่มีคุณภาพตรงกับแนวทางการเรียนรู้ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ในช่วงต้นโครงการ OnDemand ยังได้ร่วมมือกับ ศูนย์ทดสอบและประเมินเพื่อพัฒนาการศึกษาและวิชาชีพ ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มทำโครงการวิจัยในหัวข้อ “การวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบและแบบทดสอบรายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย” เพื่อประเมินคุณภาพข้อสอบที่จะนำไปใช้กับผู้เรียนของ OnDemand ทั้งแบบภาพรวมและแบบรายข้อ ตลอดจนนำข้อมูลที่ได้มาใช้จัดชุดข้อสอบ เพื่อให้ได้ข้อสอบที่สามารถวัดผลผู้เรียนได้ตรงกับวัตถุประสงค์ มีคุณภาพตามหลักวิชาการ สอดคล้องกับแนวทางการเรียนรู้แบบสากล

นายนนทกร ช่อสีดำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวิชาการ บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันการพัฒนาการศึกษาให้ตอบโจทย์ผู้เรียนและมีคุณภาพทัดเทียมนานาชาติ ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง LEARN Corporation จึงผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐฯ และเอกชนเพื่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม การพัฒนางานวิชาการในครั้งนี้ เราได้รับความร่วมมือจากภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านงานวิชาการระดับประเทศ ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการศึกษา ที่จะช่วยต่อยอดการเรียนรู้ทั้งในระดับองค์กร ส่งต่อถึงระดับบุคคลและสังคม อีกทั้งยังเป็นการร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้ทัดเทียมสากลต่อไป” ติดตามเทคโนโลยีการเรียนรู้และหลักสูตรวิชาการคุณภาพจาก LEARN Corporation และบริษัทในเครือได้ที่ www.learn.co.th

X

Right Click

No right click