เมื่อเร็วๆ นี้ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานพิธีเปิดสถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 45 อย่างเป็นทางการ โดยมี นายคมสัน ญาณวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวต้อนรับ นายอนันต์ ดนตรี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยนายประสงค์ พันธ์ลิมา ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ อาคารสถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 45 โครงการบ้านเอื้ออาทรตลาดไท (เทพกุญชร 34) ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

นายชาติชาย กล่าวว่า สถานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทำหน้าที่เป็นกลไกในการจัดสวัสดิการสังคม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อรับจำนำในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ให้โรงรับจำนำเอกชนเรียกค่าบริการสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยการให้บริการของ สธค. ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขจัดความเดือดร้อนในด้านการเงินของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินเฉพาะหน้า

นายชาติชาย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน สธค. ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 69  ด้วยวิสัยทัศน์ "เป็นโรงรับจำนำเพื่อสังคม บริการด้วยนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยยึดหลักธรรมาภิบาล” ปัจจุบันมีทั้งหมด 45 แห่ง แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพมหานคร จำนวน 29 แห่ง และปริมณฑล จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ  ส่วนภูมิภาค จำนวน 11 แห่ง  ได้แก่ จังหวัดระยอง 2 แห่ง ลำพูน 1 แห่ง  สุราษฎร์ธานี 1 แห่ง อุดรธานี 1 แห่ง พิษณุโลก 1 แห่ง พระนครศรีอยุธยา 1 แห่ง ชลบุรี 1 แห่ง สุพรรณบุรี 1 แห่ง ราชบุรี 1 แห่ง และที่เพิ่งเปิดใหม่วันนี้อีก 1 แห่ง คือที่จังหวัดปทุมธานีแห่งนี้ นอกจากนี้ สธค. ยังได้จัดทำแผนขยายสาขาการให้บริการในพื้นที่ส่วนภูมิภาคให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในปี 2567 อีกจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 46 (ลาดกระบัง) และ สถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 47 (บางขุนเทียน)

นายชาติชาย กล่าวต่ออีกว่า สำหรับวันนี้ ได้ทำการเปิดสาขาจังหวัดปทุมธานีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสาขาที่ 45 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าทางการเงิน โดยสามารถนำสิ่งของมาจำนำ และเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้รับการบริการทางสังคมที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ ทั้งนี้ สธค. มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ 1) เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อเดือน  2) เงินต้น 5,001 - 10,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ต่อเดือน  3) เงินต้น 10,001 - 20,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.00 ต่อเดือน 4) เงินต้น 20,001 - 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ซึ่ง สธค. ได้คิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในธุรกิจโรงรับจำนำ เพียงร้อยละ 0.25 ต่อเดือน (วงเงินไม่เกิน 5,000 บาท) อีกทั้ง ยังมีนโยบายอัตราการรับจำนำทรัพย์ประเภททอง นาก เงิน และรูปพรรณ โดยรับจำนำไม่เกินร้อยละ 87.5 ของราคาทองรูปพรรณในท้องตลาด ซึ่งให้ราคารับจำนำที่สูงขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม - 29 กุมภาพันธ์ 2567 ทาง สธค. จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยการไม่คิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 เดือน เมื่อจำนำไม่เกิน 5,000 บาท นับว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินเฉพาะหน้า รวมทั้งมีการปรับภาพลักษณ์เปลี่ยนโฉมการบริการใหม่ ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน

เปิดเส้นทางสู่ขุมทรัพย์ความสำเร็จ พิชิตยอดขายด้วยโซลูชั่นจาก LINE

อลิอันซ์ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ครองตำแหน่งแบรนด์ประกัน และบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุด และมีสถานะแข็งแกร่งที่สุดอันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับ Global 500 ของ Brand Finance ในขณะที่ยังคงเป็น แบรนด์อันดับที่ 28 ของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก เติบโตขึ้นถึง 15% นอกจากนั้น บริษัทฯยังได้รับการยกย่อง ในเรื่องการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และศักยภาพที่รวมธุรกิจทั้งลูกค้าขนาดกลาง และองค์กรขนาดใหญ่ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอลิอันซ์ ภายใต้ชื่อ Allianz Commercial ในปี 2023 ที่ผ่านมา เป็นสิ่งยืนยันถึงสถานะของแบรนด์ AA+ ที่แข็งแกร่งมาก อีกทั้ง อลิอันซ์ยังมุ่งเน้นเรื่องการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ผ่านการสนับสนุนด้านกีฬาและวัฒนธรรม โดยในปี 2024 นี้ กลุ่มอลิอันซ์เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการการโอลิมปิกและพาราลิมปิก เกมส์กีฬาอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนรอคอย ที่จะจัดขึ้นที่กรุงปารีสเร็วๆนี้

หากมีความจำเป็นที่จะต้องยก “ความเป็นเจ้าของ” ให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือทายาทเท่านั้น แต่ต้องแยกส่วนของการบริหารจัดการให้กับทีมบริหารมืออาชีพ เพื่อดูแลองค์กรธุรกิจครอบครัว เรื่องนี้อาจยากทำใจ หรืออาจต้องมาประเมินว่า “จะได้หรือเสีย” มากกว่ากัน

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ก่อตั้ง FAMZ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้ให้ความเห็นกับการเปิดทางให้ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารองค์กรของธุรกิจครอบครัวว่า

“การที่ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารธุรกิจกลับจะยิ่งช่วยให้ธุรกิจครอบครัวมีความสามารถทางการแข่งขัน และมีศักยภาพได้ดี มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงจากผลการศึกษากรณีดังกล่าวจากทั่วโลกก็บ่งชี้ในทิศทางเดียวกันว่า ธุรกิจครอบครัวอาจมีผลประกอบการต่ำ หรือขาดความทะเยอทะยานได้ ทว่า หากบริหารโดยสมาชิกในครอบครัคนที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวจะสามารถผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วกว่า รวมถึงการสร้างนวัตกรรม การขยายตัวไปต่างประเทศ การกระจายธุรกิจก็จะทำได้ดีกว่า เนื่องจากมืออาชีพจะให้ความสำคัญกับความสามารถทางการแข่งขัน และการทำธุรกิจเป็นภารกิจอันดับต้นๆ ต่างจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งมักจะมุ่งโฟกัสที่ครอบครัว ชุมชนและการสร้างตำนานของธุรกิจครอบครัวกับโลกมากกว่า”

การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักคือต้องทำให้เป็นมืออาชีพทั้งธุรกิจและครอบครัวด้วยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ถ้าต้องการให้ธุรกิจมีความเป็นมืออาชีพจริงๆ ก็ควรต้องมีมืออาชีพมากๆ  ที่สำคัญ หากมองในระยะยาว การที่ธุรกิจครอบครัวดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามา ตลอดจนการให้ขอบเขตและให้เวลาในการพิสูจน์ตนเองของผู้บริหาร โดยเฉพาะช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งซีอีโอนั้นจะต้องใช้เวลาหลายปี อย่างกรณีอ้างอิงจาก Fortune 500 ก็ใช้เวลาประมาณ 5 ปี ขณะที่ Harvard Business Review ระบุว่า ช่วงระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมของซีอีโอคือ 4.8 ปี หลังจากนั้น การทำงานจะเริ่มมีบางอย่างลดลง ซึ่งธุรกิจครอบครัวจะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ดี อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังสำหรับมืออาชีพที่ได้รับการสรรหาเข้ามาก็คือ จะต้องแสดงบทบาทของตนเองอย่างระมัดระวังในธุรกิจครอบครัว เนื่องจากอาจจะต้องเผชิญกับประเด็นความซับซ้อน หรืออ่อนไหวที่อาจต้องขับเคี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ทั้งที่อยู่ในและนอกบอร์ดบริหาร”

อย่างไรก็ตาม การที่มีมืออาชีพเข้ามาในธุรกิจเพิ่มขึ้น เจ้าของธุรกิจครอบครัวก็ยังสามารถกำกับ หรือดูแลธุรกิจในภาพรวมได้ นอกจากนี้  ยังมีผลงานวิจัยสนับสนุนอีกด้วยว่า ถ้าเจ้าของธุรกิจเข้ามาเป็นคณะกรรมการ เข้ามาร่วมตัดสินใจ ร่วมรับความเสี่ยง/รับภาระ ฯลฯ บริษัทก็จะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าการปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามามีส่วนตัดสินใจและบริหาร เนื่องจากมืออาชีพนั้นไม่ได้อยู่กับธุรกิจถาวรเหมือนเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น หนึ่งในคำมั่นสัญญาที่สำคัญ คือ การที่เจ้าของธุรกิจเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหา และกำหนดทิศทางของธุรกิจ”

ทั้งนี้ ความเป็นธุรกิจครอบครัวก่อนจะตัดสินใจเรื่องสำคัญทางธุรกิจ ครอบครัวมักจะหารือกันก่อนในที่ประชุมครอบครัว เช่น สภาครอบครัวหรือสภาธุรกิจ แล้วจึงจะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งปกติเสียงของครอบครัวมักจะดังเสมอในทุกๆ ประชุมของบริษัท

รศ.ดร.เอกชัยกล่าวในตอนท้ายว่า ในฐานะที่ FAMZ เป็นบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ผมมองว่า การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนัก คือ ต้องทำให้ธุรกิจครอบครัวเป็นมืออาชีพทั้งในส่วนของ “ธุรกิจ” และ “ครอบครัว” ด้วย”

ข้อมูลเพิ่มเติม www.famz.co.th 

บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดย วิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ (IAAI) จัดประกวดแนวคิดนวัตกรรมและความเป็นไปได้ทางธุรกิจด้านเศรษฐกิจอวกาศยุคใหม่ ระดับอุดมศึกษา “SpaceQuest 2024 : Launching Thailand Space Innovation & Business” เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านอวกาศ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศยุคใหม่ (New Space Economy) ของประเทศไทย ชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท

นายสรพงษ์ ศิริพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานดาวเทียมและโครงข่าย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เปิดเผยเกี่ยวกับโครงการประกวดแนวคิดนวัตกรรม “SpaceQuest 2024 : Launching Thailand Space Innovation & Business” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกในหัวข้อ “เศรษฐกิจอวกาศยุคใหม่ (New Space Economy) ของประเทศไทย”  โดยโครงการดังกล่าวมุ่งส่งเสริมให้นิสิต นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้าร่วมสร้างสรรค์แนวคิดนวัตกรรมที่เปิดกว้างในแง่ของเทคโนโลยีอวกาศ โดยไม่ได้มีแค่เรื่องดาวเทียมสื่อสารและยานอวกาศเหมือนในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายมิติเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีการท่องเที่ยวอวกาศ เทคโนโลยีสำหรับการค้นพบทรัพยากรใหม่ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจอวกาศ เป็นต้น โดยมีรางวัลเป็นทุนการศึกษารวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท

“NT ในฐานะผู้นำด้านการให้บริการระบบสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียม และมุ่งเน้นการพัฒนาและส่งเสริมความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้แก่ นิสิต นักศึกษา เยาวชน ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของชาติอย่างต่อเนื่องตลอดมา   โดยการจัดโครงการในครั้งนี้ทีมที่ได้รับการคัดเลือกผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย จะได้รับเงินสนับสนุนการผลิตผลงานทีมละ 15,000 บาท พร้อมสิทธิ์ในการเข้าร่วมกิจกรรม Workshop with Mentor ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและด้านธุรกิจจะมาให้คำปรึกษาและคำแนะนำอย่างใกล้ชิด ทั้งประสบการณ์ความรู้เทคนิคต่างๆ เพื่อให้น้องๆ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนเตรียมความพร้อมสู่การทำงานในอนาคตต่อไป”

นิสิต นักศึกษาที่สนใจสามารถสมัครและส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2567 ประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 และประกาศผลการประกวดในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 ส่งผลงานและดูรายละเอียดได้ที่ https://spacequest2024.space/ สอบถามเพิ่มเติม Email : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ โทร. 02 326 4290 (คุณธนะชิต)

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ นางสาวศิรนุช โรจนเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบเสื้อกันฝนให้กับสถานีตำรวจนครบาลบางเขน เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงหน้าฝนและอำนวยความสะดวกการจราจรให้กับประชาชน โดยมี พ.ต.อ. อนันต์ วรสาตร์  ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางเขน รับมอบ ณ อาคารทิพยประกันภัย สำนักงานใหญ่ พระราม3

ผ่านมาแล้ว 4 ปี กับกิจกรรม Football Sportwear 2024 ภายใต้โครงการ eisa (Education Institute Support Activity) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่สนับสนุนกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพออกแบบชุดนักฟุตบอลให้กับสโมสรฟุตบอลต่างๆ ผ่านวิชาเรียน  FD395 Special Issue in Fashion Design1  

โดยในปีนี้มีสโมสรฟุตบอลนครปฐม ยูไนเต็ด และสโมสรฟุตบอลโปลิศ เทโร เอฟซี เร่วมมอบโจทยเพื่อเป็นแนวทางให้กับนักศึกษาออกแบบชุดนักฟุตบอลให้ตอบโจทย์มากที่สุด รวมถึงมีการจัดประกวดการออกแบบในรายวิชาเพื่อคัดเลือกผลงานต้นแบบที่ชนะ นับว่าเป็นการบูรณาการโจทย์จากความต้องการจริงของผู้ใช้งาน โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อมุ่งเน้นให้นักศึกษาที่เรียนวิชาดังกล่าว ตอบโจทย์ด้านการออกแบบแฟชั่นกีฬาอย่างเป็นระบบ ในปีการศึกษานี้มีนักศึกษาภาควิชาการออกแบบแฟชั่น คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จำนวน 41 คน ซึ่งจะมีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 7 กลุ่ม เพื่อร่วมกันดำเนินกิจกรรมด้านวิชาการระหว่างกัน การดำเนินงานดังกล่าวประกอบด้วยการฝึกปฏิบัติการออกแบบเพื่อการประกวด การศึกษาดูงาน การจัดประกวด จัดทำชุดเสื้อผ้าและของที่ระลึกต้นแบบ จะได้เห็นรูปแบบการออกแบบทั้งชุดแข่งขัน / ชุดซ้อม / ชุดเดินทาง / Accessories ต่าง ๆ (ผ้าพันคอ / หมวก / กระเป๋า ฯลฯ) เพื่อคัดเลือกผลงาน ต้นแบบที่โดนใจ ของสโมสรฟุตบอลทั้ง   2 ทีม นำไปผลิตใช้งานจริงต่อไป

นอกจากนี้ ความพิเศษและความแตกต่างของโครงการฯในปีนี้จะถูกนำไปจัดแสดงภายในงาน SX 2024 ทั้งในส่วนของ Exhibition @ Life Long Learning Zone และ Talk stage ที่จะเป็นการพูดคุยของผู้บริหาร 2 สโมสรฟุตบอล รวมถึงอาจารย์และนักศึกษา พร้อมการจัดแสดง Mini Fashion Show @ SX 2024 Talk Stage  โดยปีนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้ทายาทของ 2 ประธานสโมสรฟุตบอล ในฐานะ “Young Gen” ลงมาเป็น Mentor และช่วยดูแล โครงการฯ ร่วมกับโครงการ eisa คือคุณเอมี่ พิมพ์ชญา สะสมทรัพย์ ผู้จัดการสโมสรฟุตบอลนครปฐม ยูไนเต็ด และคุณแฮน  ชัยธัช ชัยจินดา ผู้บริหารสโมสรฟุตบอลโปลิศ เทโร

 

สำหรับแผนดำเนินโครงการ แบ่งเป็น 4 ครั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. วันที่ 16 ม.ค. 67 @ คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.กรุงเทพ Main Campus

                                  -  เวลา 13.00-14.00 น. มอบโจทย์โดยสโมสร โปลิศ เทโร

                                  -  เวลา 15.00-16.00 น. มอบโจทย์โดยสโมสรนครปฐม ยูไนเต็ด

  1. วันที่ 27 ก.พ. 67 นักศึกษานำเสนอผลงานต้นแบบให้กับ 2 สโมสร พิจารณา :

                                  - วันที่ 27 ก.พ. 67 ช่วงบ่าย นศ. จะเดินทางไปนำเสนอแบบของสโมสรนครปฐม @ จังหวัด 

                                     นครปฐม

  1. วันที่ 10 มี.ค. 67 นักศึกษาร่วมชมการแข่งขันฟุตบอล T1 ระหว่างสโมสรนครปฐม ยูไนเต็ด

                               VS สโมสรตราด เอฟซี @ โรงเรียนกีฬาเทศบาลนครปฐม จ.นครปฐม + ร่วมศีกษาสถานที่สำคัญ

                               ต่างๆของจังหวัดนครปฐม

  1. เดือนพฤษภาคม 67 จะเป็นการมอบรางวัลแบบที่จะถูกคัดเลือกให้นำไปใช้เป็น sportwear

                               ประจำฤดูกาล  2023/2024 ของทั้ง 2 สโมสร พร้อมการจัดแสดง Mini Fashion Show จากเหล่า 

                               นักฟุตบอลของทั้ง 2 สโมสร ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ Main Campus

นายสินทวีชัย หทัยรัตนกุล นักฟุตบอลทีมสโมสรโปลิศ เทโร นำทีมนักเตะมอบโจทย์ให้กับนักศึกษาได้กล่าวถึงความรู้สึกในการเข้าร่วมมอบโจทย์ว่า

“มุมมองและทัศนคติในกิจกรรม  Football Sportwear 2024 ผมมองว่าไม่ต่างกันจากเกมส์กีฬาฟุตบอล ซึ่งต้องมีการฝึกซ้อม มีการวัดผลงาน วัดค่าว่าไปไกลแค่ไหนในการแข่งขัน สิ่งที่ไทยเบฟทําก็คือการให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ได้เสนอไอเดียมุมมองต่างๆที่เขามี แล้วก็สร้างสรรค์ออกมาเราให้เขาได้มีโอกาสแสดงความสามารถลงทุนลงแรง สำหรับปีนี้เราได้ให้โจทย์หลักๆก็เป็นเรื่องโทนสี อันดับแรกก็คือเรื่องโทนสีที่ต้องเป็นแดงดําซึ่งอยากให้น้องๆ ทําโจทย์ออกมาให้มีความน่าเกรงขามกับไอเดียที่สร้างสรรค์ออกมาให้มากที่สุด สำหรับทัศนคติกับโครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ดีก็อย่างที่บอกครับในเมื่อเด็กๆเขามีความคิดสร้างสรรค์  จําเป็นต้องมีเวทีให้พวกเขาได้แสดงออก ให้เขาได้แสดงผลงานออกมา เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ทําให้เขาเจริญเติบโตพัฒนาการเรียนรู้ครับ”  

อีกด้านหนึ่งของ Mentor และเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง คุณพิมพ์ชาญา สะสมทรัพย์ ผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอล นครปฐม ยูไนเต็ด  หรือคุณเอมี่ ทายาทโดยตรงของสโมสรฯ ได้กล่าวถึงการมอบโจทย์ครั้งแรกกับนักศึกษาว่า

“ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ เอมี่มองว่าการออกแบบอยากให้ทางนักศึกษา Create ออกมาเป็น โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ก็คืออยากให้ฟิตต์เอเวอรี่เดย์ สามารถใช้ได้ในชีวิตประจําวันแล้วก็ใช้ได้ทั่วไปค่ะ ไม่ใช่แค่ว่าในสปอร์ตไม่ใช่แค่ว่าในสเตเดี้ยมแต่ว่าใช้ได้ทุกวันใช้ได้จริง สำหรับการมอบโจทย์ในปีนี้เป็นปีแรกที่เอมมี่ได้เข้ามามีส่วนร่วมแบบเต็มตัว โดยส่วนตัวเอมมี่ต้องการให้มีการออกแบบ ผ้าพันคอ/เสื้อแฟนคลับ/เสื้อเดินทาง โดยชุดจะต้องดีไซน์ออกแบบดีมีเนื้อผ้าที่ดีถูกใจวัยรุ่น  สำหรับปีที่ผ่านมาการออกแบบของนักศึกษารุ่นก่อนดีมากๆค่ะ เราได้เอาไปใช้กับดีไซน์ของชุดแข่งจริง สำหรับการมอบโจทย์หลักของปี 2024-2025 เราต้องการธีมสีกรม/ สีเขียวเข้ม/ แล้วก็สีครีม  เดี๋ยวเรารอดูว่าจะออกมาเป็นยังไงเพราะว่าเราอ้างอิงมาจากรัชกาลที่ ๖ ซึ่งบอกน้องๆ ไปว่าเป็นประวัติศาสตร์ของ ทีมนครปฐมก็ให้ไปอะแดพทออกแบบมา เดี๋ยวเอมมี่จะมาทําขายหลังจากที่รู้ว่าทีมไหนเป็นผู้ชนะคะ"  คุณเอมี่กล่าว

และบุคลากรท่านสุดท้ายของสถาบันการศึกษา ผศ.ดร. ณัฐสุภา เจริญยิ่งวัฒนา รองคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้ขับเคลื่อนการดำเนินงานออกแบบและควบคุมวิชาเรียน ของนักศึกษาได้กล่าวถึงความรู้สึกว่า

“กิจกรรม Football Sportwear 2024 เป็นการมอบโอกาสให้กับนักศึกษาได้เรียนรู้ด้านการออกแบบด้านผลิตภัณฑ์กีฬาจากโจทย์จริงของสโมสร ซึ่งปีนี้ทางมหาวิทยาลัยกรุงเทพดีใจที่ได้รับเกียรติจาก 2 สโมสรเข้าร่วมกิจกรรม ในมุมของนักศึกษาวิชาเรียนด้านแฟชั่นส่วนใหญ่จะไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ออกแบบด้านกีฬาเลย แต่กิจกรรมนี้เหมือนกับว่าเด็กๆได้เรียนรู้กับนักฟุตบอลกับผู้มีประสบการณ์จากทางสโมสร แล้วก็เรียนรู้ไปถึงกระบวนการออกแบบจากโปรดักชั่นจริง ในรูปแบบของการผลิตที่ถูกต้องตามหลักการออกแบบค่ะ การรับโจทย์ของนักศึกษาเรามอง ว่าเป็นโจทย์ที่มีประโยชน์มากเพราะว่าเป็นโจทย์ที่มาจากความต้องการจริง รวมถึงตัวนักฟุตบอลได้มาบอก ความต้องการ แบบเสื้อผ้า น้ำหนักที่เบา รวมถึงเสื้อผ้าที่มีดีไซน์เรียบ แต่เฉียบ มีรสนิยมเป็นแบบเฉพาะทาง นับว่าเป็นการ Collaboration ร่วมกันอย่างเป็นระบบคะ”  อาจารย์เพชรกล่าว

โครงการ eisa มุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและร่วมพัฒนาการศึกษาตั้งแต่ระดับเยาวชนมาอย่างต่อเนื่อง เป็นการต่อยอดโครงการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัย ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มGen Z ซึ่ง “ความรู้ การฝึกฝน” เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานให้ตัวนักศึกษาได้เติบโตเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีศักยภาพ ก้าวขึ้นเป็นมืออาชีพและมีความรับผิดชอบต่อสังคมต่อไปในอนาคต

สลิล สุญาณเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอไอคอมบายนด์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่าGENTLE MONSTER (เจนเทิล มอนสเตอร์)  แบรนด์แว่นตาชื่อดังระดับโลกจากเกาหลีใต้ เดินหน้าเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ต่อเนื่อง โดยล่าสุดตอกย้ำความเป็นแบรนด์ยืนหนึ่งในใจ Gen Z จัดงานเปิดตัวอายแวร์ (eyewear) สุดยูนีค คอลเลกชันใหม่ GENTL JELLY (เจนเทิล เจลลี่) นำเสนอรูปทรงปราดเปรียวรอบด้านของแว่นตาทรงโค้ง ผ่านสเปกตรัมของเฉดสีที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการบ่งบอกจิตวิญญาณความเป็น เจนเทิล มอนสเตอร์ ผ่านนวัตกรรมการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร

ทั้งนี้ GENTLE MONSTER คอลเลกชัน GENTLE JELLY เปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 19 มกราคมนี้เป็นต้นไป  โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 9,580 บาท วางจำหน่ายที่ เจนเทิล มอนสเตอร์ แฟล็กชิปสโตร์ ชั้น เอ็ม โซน เดอะกลาสควอเทียร์  ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์

หาสุดยอดทีมเยาวชนไทย บินลัดฟ้าร่วมฟาดแข้งฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ระดับโลก

ครั้งแรกในวงการ 2 นักพัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำ พฤกษา’ ผนึกกำลัง ‘ออริจิ้น’ เตรียมผุดโครงการร่วมทุน 3 โครงการ ลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์บน Prime Area 3 ทำเล ได้แก่ โปรเจ็คมิกซ์ยูส (Wellness Hotel & Service Apartment) มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม  มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท และ บ้านเดี่ยว มูลค่าประมาณ 980 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 8,700 ล้านบาท 

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า ‘พฤกษา’ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ 3 บริษัทในเครือ ‘ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้’  ได้แก่ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด หรือ PARK และ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เพื่อก่อสร้างและพัฒนา 3 โครงการ ได้แก่ (1) การร่วมทุนในธุรกิจโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ และศูนย์บริการด้านสุขภาพ ทำเลสุขุมวิท มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท (2) การร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ย่านพหลโยธิน มูลค่าโครงการ ประมาณ 2,800 ล้านบาท และ (3) การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม ย่านเพชรเกษม มูลค่าโครงการประมาณ 980 ล้านบาท ในอัตราส่วนการลงทุน 50:50

“สำหรับการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ นับเป็นข้อตกลงที่ได้รับประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท (Win-Win) และจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากการนำทรัพยากรและที่ดินของทั้งสองบริษัทที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาโครงการ แชร์เทคโนโลยีและโนว์ฮาวโดยนำจุดแข็งของกลุ่ม ‘พฤกษา’ ที่มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุน พร้อมมุ่งพัฒนาการอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” ด้วยนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจในเครือที่หลากหลาย ทั้งธุรกิจพัฒนาและก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเฮลธ์แคร์ ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ พร้อมด้วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่พัฒนาเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม MyHaus  ตัวช่วยที่ส่งเสริมเรื่องที่อยู่อาศัย ให้ผู้คนมีชีวิตที่ง่ายและสะดวกขึ้น  ไปจนถึงการสร้างที่อยู่อาศัยด้วยความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำจากอินโน พรีคาสท์ในเครือพฤกษา ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง เมื่อผนึกกำลังกับจุดแข็งของ ‘ออริจิ้น’ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ จึงเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพ และข้อได้เปรียบจากทั้ง ‘พฤกษา’ และ ‘ออริจิ้น’ จะร่วมกันส่งเสริมให้ทั้งสามโครงการร่วมทุนนี้ ประสบความสำเร็จ ส่งมอบความอยู่ดี มีสุขให้กับคนในสังคม และจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ พฤกษาจะได้ประโยชน์จากการนำที่ดินที่มีอยู่ในมือมาใช้พัฒนาผ่านแบรนด์ใหม่เพื่อสร้างฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางเพื่อการสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) อีกด้วย” นายอุเทนกล่าว

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า การได้พฤกษามาเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยี องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญต่างๆ ระหว่างกัน และช่วยให้ยกระดับการพัฒนาคุณภาพการก่อสร้างโครงการ การออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ในอาคาร เติมเต็มความต้องการของการใช้ชีวิตในแต่ละทำเลได้อย่างยอดเยี่ยม

“ในไทยเราอาจไม่ค่อยเห็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จับมือร่วมทุนกันเอง แต่ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น มีความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ เพราะแต่ละรายต่างก็มีความถนัด ความเชี่ยวชาญในเซ็กเมนท์และทำเลแตกต่างกัน โดยเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ฟังก์ชันและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการพักผ่อนของคนยุคใหม่ อาทิ การพัฒนาคอนโดสำหรับกลุ่ม Pet Lover การพัฒนาห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร บ้านเดี่ยวที่ใส่ใจ Universal Design ทางด้านพฤกษาเอง เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ มีความเชี่ยวชาญในด้านนวัตกรรมการก่อสร้าง และประสบการณ์การพัฒนาโครงการมากมายจึงเชื่อว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถมาช่วยเติมเต็มความถนัดและโอกาสซึ่งกันและกันได้ เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างออริจิ้นและพฤกษาในครั้งนี้ จะเป็นมิติใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่บริษัทระดับท็อปของตลาด 2 ราย มารวมพลังกัน พัฒนาทั้งโรงแรม คอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ยกระดับการพักผ่อนและการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH  ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพ และการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับสองธุรกิจหลัง เพื่อสร้างรายได้ประจำ โดยปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่  (1)  กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งมีโครงการที่เปิดขายภายใต้ชื่อแบรนด์ ดังนี้ บ้านกรีนเฮาส์ (Baan GreenHaus), บ้านพฤกษา (Baan Pruksa), พฤกษาวิลล์ (Pruksa Ville), เดอะ คอนเนค (The Connect), และ พาทิโอ (Patio) (2) กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อแบรนด์  เดอะ แพลนท์ (The Plant), ภัสสร (Passorn), และ เดอะ ปาล์ม (The Palm) และ  (3) กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโด  ภายใต้ชื่อแบรนด์ พลัม คอนโด (Plum Condo), เดอะ ทรี (The Tree), แชปเตอร์ (Chapter), แชปเตอร์ วัน (Chapter One), เดอะ ไพรเวซี่ (The Privacy) และ เดอะ รีเซิร์ฟ (The Reserve) โดยส่งมอบที่อยู่อาศัยเพื่อคนไทยไปแล้วมากกว่า 260,000 ครอบครัว  สำหรับธุรกิจด้านสุขภาพ มีโรงพยาบาลวิมุต เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของกลุ่มธุรกิจ  และในปี 2564 วิมุตฯ ได้เข้าลงทุนในกิจการโรงพยาบาลเทพธารินทร์เพิ่มเติม และ PSH ได้ขยายธุรกิจใหม่ด้านอีคอมเมิร์ซด้วยการก่อตั้งบริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการขยายธุรกิจ รวมทั้งก่อตั้ง บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด เพื่อรองรับความต้องการด้านพรีคาสท์ในตลาดธุรกิจก่อสร้าง  และ มีการลงทุนอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมและเพิ่มความสามารถในการสร้างผลกำไร สร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 240,661 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

X

Right Click

No right click