หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ทุกธุรกิจองค์กรต้องเร่งติดอาวุธครองใจลูกค้า

ตอกย้ำจุดยืนของหัวเว่ยในฐานะแบรนด์แฟชันระดับไฮเอนด์ระดับโลก

ขอร่วมแสดงความยินดี แก่ ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS) ที่เพิ่งเข้าพิธีรับมอบพระราชทานปริญญาบัตร ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการตลาดดิจิทัล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประจำปี 2565 -2566 โดยมีท่าน พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรนี้ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่

ทั้งนี้มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ให้เกียรติยกย่อง ดร.จารุวรรณ ในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ ทั้งยังเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ต่อองค์กรและสังคมประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีต่อคนรุ่นต่อไป นอกจากนี้ ดร.จารุวรรณ ยังถือเป็น ดร. คนแรกที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้ารับมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ และเป็นคนแรกของสาขาวิชาการตลาดดิจิทัล จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้

ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านองค์กรและบุคลากร อย่างไม่หยุดยั้ง

การสืบทอดธุรกิจครอบครัว ถือเป็นประเด็นที่มีความท้าทายและเป็นบททดสอบที่ทุกครอบครัวต้องข้ามผ่านไปให้ได้ อีกทั้งเป็นการพิสูจน์ว่า ธุรกิจของครอบครัวนั้นๆ จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืนได้หรือไม่ เนื่องจากการสืบทอดธุรกิจครอบครัวนั้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนทั้งการถ่ายโอนอำนาจในครอบครัว และในธุรกิจ อีกทั้งมีธุรกิจครอบครัวจำนวนมากที่ยังไม่ได้วางแผนสืบทอดไว้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาค่อนข้างมาก อีกทั้งมีปัญหายุ่งเหยิงพอสมควร จนทำให้ธุรกิจครอบครัวไม่สามารถถ่ายโอนธุรกิจไปสู่ทายาทรุ่นต่อไปได้

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ผู้ก่อตั้ง FAMZ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้ให้แนวทางเพื่อการสืบทอดธุรกิจครอบครัวได้ประสบความสำเร็จว่า “การก้าวข้ามความล้มเหลวของการสืบทอดธุรกิจครอบครัวนั้นมีทั้งแนวทางต่างๆ ทั้งที่ควรทำและไม่ควรทำ หรือ Do & Don’t ของกระบวนการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการส่งต่อธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ทั้งในส่วนของผู้นำธุรกิจครอบครัว หรือในส่วนของทายาทผู้สืบทอด ซึ่งทั้งสองควรกลับมาพิจารณาและถอยมาคนละก้าว เพื่อให้กระบวนการต่างๆ ลุล่วงด้วยดี”

Do & Don’t

รศ.ดร.เอกชัย กล่าวถึง “สิ่งที่ไม่ควรทำ” หรือ Don’t สำหรับการสืบทอดธุรกิจครอบครัวว่า ประกอบด้วย พฤติกรรมดังต่อไปนี้

  • ไม่เชื่อมือ เนื่องจากคนรุ่นพ่อแม่ยังมีอาการไม่วางใจ หรือไม่เชื่อมือทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งมากนัก ทำให้ไม่ยอมวางมือและพนักงานเกิดความสับสนว่าอจะเชื่อฟังใครกันแน่
  • ร้อนวิชา ผู้สืบทอดตำแหน่งร้อนวิชาเกินไป อยากดำเนินธุรกิจในแบบของตน โดยไม่ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน จนทำให้เกิดความผิดพลาดได้
  • มองข้ามค่านิยม ผู้สืบทอดตำแหน่งมองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญกับค่านิยมองค์กร จนทำให้ค่านิยมองค์กรผิดเพี้ยนไป
  • มองข้ามพนักงาน ผู้สืบทอดตำแหน่งไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพนักงานจึงไม่สามารถรักษาพนักงานเก่า หรือพนักงานที่มีความสามารถไว้กับองค์กรได้ รวมถึงไม่สามารถดึงคนเก่งเข้ามาทำงานในองค์กรได้

ขณะที่ “สิ่งที่ควรทำ” หรือ Do เพื่อให้การถ่ายโอนธุรกิจครอบครัวประสบความสำเร็จ  นั่นคือ

  • วางแผนอย่างรอบคอบ ผู้ส่งมอบต้องเตรียมการโดยวางแผนและการจัดการธุรกิจอย่างรอบคอบ ทั้งในเรื่องธุรกิจ กลยุทธ์ เงินทุน หุ้นส่วนและการขยายสินค้าในระยะยาว เนื่องจากมีอิทธิพลโดยตรงต่อความสำเร็จในการสืบทอดธุรกิจครอบครัว
  • บ่มเพาะอย่างดี ผู้ส่งมอบต้องบ่มเพาะให้ผู้สืบทอดมีความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจ รวมถึงสร้างความเป็นภาวะผู้นำให้ได้ โดยให้เข้าสู่ธุรกิจในวัยเยาว์และได้รับประสบการณ์ตรงทางด้านธุรกิจจากระดับล่างขึ้นมา ให้ผู้สืบทอดได้รับการศึกษาที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจ ซึ่งผู้นำธุรกิจครอบครัวมักใช้การสอนแบบภายในและสอนแบบรายบุคคล ทั้งนี้ ทายาทต้องมีความรู้ในธุรกิจของตนเอง หมั่นหาองค์ความรู้ให้ตนเองเสมอ อาทิ การเข้าอบรมหรือฟังสัมมนา และควรหาผู้มีความรู้และประสบการณ์ อาทิ ผู้บริหารที่มีประสบการณ์และมีองค์ความรู้เข้ามาช่วยเสมือนเป็นพี่เลี้ยงสอนงานได้
  • คลุกวงใน ผู้ส่งมอบควรให้ทายาทเข้าสู่ธุรกิจครอบครัวตั้งแต่เยาว์วัย ก่อนที่จะเข้าสู่ธุรกิจเต็มตัว เพื่อให้มีความสนใจในธุรกิจ และสั่งสมความรู้ ประสบการณ์ก่อนการรับมอบตำแหน่งและได้เห็นบทบาทภาวะผู้นำของผู้ส่งมอบ
  • เลือกคนเก่ง เล็งให้ถูก หากมีทายาทหลายคน ผู้นำธุรกิจครอบครัวต้องพิจารณาให้ได้ว่า คนไหนเก่งด้านใดและวางตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นๆ และควรให้ทายาทประเมินตนเอง เพื่อให้ตระหนักถึงจุดอ่อน/จุดแข็งของตนเอง และต้องยอมรับความจริงว่า ตนเองถนัดและชอบในธุรกิจนี้หรือไม่ อีกทั้งต้องมั่นใจในความรู้ความสามารถของตนเองและมั่นใจว่า ตนเองสามารถดูแลธุรกิจได้ พร้อมทั้งต้องแสดงความสามารถให้ทุกคนเห็น
  • ทะลายกำแพง ผู้ส่งมอบไม่ควรพยายามทำให้พนักงานมีความเกรงใจในตัวผู้สืบทอด แต่ควรทำให้พนักงานมองผู้สืบทอดเป็นเหมือนลูกหลานที่พร้อมจะช่วยเหลือในการพัฒนาธุรกิจต่อไป อีกทั้ง้ควรให้ความสำคัญกับพนักงาน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความผาสุกของพนักงาน พยายามรักษาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่กับองค์กร และแสวงหาคนดี คนเก่งมาอยู่กับองค์กร
  • ต่อยอด ทายาทควรนำเครือข่ายทางสังคมของคนรุ่นพ่อแม่ที่สร้างไว้มาเชื่อมต่อให้ยืนยาวต่อไป เพราะมักเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นสายสัมพันธ์ในเชิงลึกซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจต่อไป

แผนการสืบทอดธุรกิจ

รศ.ดร.เอกชัย กล่าวถึงองค์ประกอบการสืบทอดกิจการที่ควรโฟกัสเพิ่มเติมว่า เนื่องจากกระบวนการสืบทอดกิจการ บางครั้งก็อาจไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวเสมอไป การดึงดูดคนที่มีศักยภาพสูงและพัฒนาคนเหล่านี้ให้เป็นผู้นำ จะทำให้ธุรกิจครอบครัวมีทางเลือกมากขึ้น เพราะคนเหล่านี้จะสามารถสร้างความได้เปรียบที่ชัดเจนให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า ธุรกิจครอบครัวก็มีข้อได้เปรียบในการดึงดูดคนที่มีศักยภาพสูงเข้ามาทำงานได้ง่ายกว่าธุรกิจทั่วไป นอกจากนี้ การที่จะผู้ส่งมอบจะถ่ายโอนธุรกิจให้ผู้สืบทอดธุรกิจอย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องสร้างแผนการสืบทอดธุรกิจสำหรับการต่อยอดธุรกิจ 3 ประการคือ “ทัศนคติ ทักษะความรู้ความสามารถ องค์ความรู้” พร้อมกับการวางแผนการถ่ายโอนธุรกิจให้เกิดผลสำเร็จ 3 ประการ คือ

  • ต้องยอมรับความแตกต่าง ผู้สืบทอดธุรกิจจะต้องยอมรับว่า เรื่องไหนที่ยังไม่รู้ลึก หรือยังไม่มีความพร้อม
  • หามุมมองที่หลากหลายจากผู้รู้ ผู้สืบทอดธุรกิจจะต้องมองหามุมมองที่หลากหลายจากผู้มีความรู้ ประสบการณ์ จนทำให้มีมุมมองที่แตกต่าง อีกทั้งยังจะต้องมีความพร้อมที่จะรับฟังพนักงานทุกคน
  • เป้าภาพรวมต้องชัดและสื่อสาร สำหรับการเดินหน้าธุรกิจครอบครัว นอกจากบทบาทหน้าที่แล้วยังต้องมีแผนงาน เป้าหมาย และทิศทางที่ชัดเจน อีกทั้ทั้งยังจะต้องมีการสื่อสารกับพนักงานอย่างเข้าใจ เพื่อให้ทุกคนทราบว่าองค์กรจะเดินต่อไปอย่างไร

นอกจากนี้ รศ.ดร.เอกชัย ยังให้คำแนะนำต่อไปในฐานะที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวว่า เมื่อผู้นำธุรกิจครอบครัวตัดสินใจแล้วว่า จะส่งทอดธุรกิจครอบครัวไปยังรุ่นต่อไปก็ควรต้องจัดเตรียมแผนหรือตารางเวลาที่ชัดเจน และการเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายที่รออยู่สำหรับทายาท ดังนี้

1) ความคาดหวังในองค์กร เนื่องจากทายาทต้องเป็นเจ้าของกิจการในอนาคต ดังนั้น จึงต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถด้านการจัดการธุรกิจแล้ว ยังต้องสร้างความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนในองค์กร ทายาทจึงต้องสามารถถ่ายทอดค่านิยม ตลอดจนความเชี่ยวชาญต่างๆ ในธุรกิจจากรุ่นก่อตั้ง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ดังเช่น ทายาทของหลุยต์ วิคตอง ต้องสามารถเย็บกระเป๋าทุกรุ่นด้วยมือ เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงความสามารถและจิตวิญญาณจากบรรพบุรุษ

2) การเผชิญหน้า ทายาทต้องเผชิญหน้ากับความแตกต่างด้านค่านิยม ทักษะ และเจตคติส่วนบุคคล ความแตกต่างระหว่างรุ่น เช่น ความคิดเรื่องการเติบโต หรือความมั่นคงของธุรกิจ หากทายาทแสดงออกโดยไม่ยั้งคิดก็ย่อมจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ในสมาชิกครอบครัว หรือบุคลากรในองค์กร ฉะนั้น ทายาทต้องเรียนรู้ถึงการบริหารจัดการบริษัท ศึกษาข้อขัดแย้งต่างๆระหว่างกลุ่ม สำรวจค่านิยมร่วมที่คนในองค์กรยึดถือ อุปนิสัย/ความคุ้นเคยในการทำงาน เพื่อให้กำหนดบทบาทและการแสดงออกอย่างเหมาะสม

3) การเปลี่ยนแปลงและการได้มาซึ่งตำแหน่ง (Change & Acquisition) ทายาทที่เข้ามารับช่วงต่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เรื่องภาวะผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะการรักษา ค่านิยม วัฒนธรรม หรือบรรทัดฐานเดิม แต่ต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น การต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตโดยอยู่บนคุณค่าที่ส่งทอดมาจากรุ่นผู้ก่อตั้งย่อมเป็นแรงกดดันที่ท้าทาย หากทายาทสามารถผ่านไปได้ย่อมก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในธุรกิจ

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จับมือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดยิ่งใหญ่งาน STYLE Bangkok 2024 แสดงพลังซอฟต์พาวเวอร์ไทยเต็มที่ โชว์ศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs พร้อมต่อยอดความยั่งยืน รวมสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และงานคราฟต์มีดีไซน์มาไว้ครบจบในที่เดียว เป็นเวทีให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และดีไซเนอร์ไทย ได้เจรจาการค้า และสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับนักธุรกิจจากทั่วโลกระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2567 นี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้องบอลรูม โรงแรม SO/Bangkok นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน STYLE Bangkok 2024 ซึ่งจะจัดภายใต้ธีม “ChicNature” โชว์สินค้าไทยในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ ของชำร่วย ของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและในครัว ของเล่น ผลิตภัณฑ์สปา สินค้าแฟชั่น ผ้าผืน เครื่องหนัง และวัตถุดิบใหม่ ๆ ไปจนถึงสินค้าสำหรับธุรกิจ Hospitality โรงแรม และงานโปรเจคต่าง ๆ โดยมุ่งเจาะตลาดผู้ซื้อจากกลุ่มตลาดศักยภาพ อาทิ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป และ อาเซียน

อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าวว่า “การพัฒนาสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นสร้างสรรค์ เป็นหนึ่งในแผนผลักดันสำคัญตามนโยบายส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งในมิติการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของไทยมีจุดเด่นเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอยู่แล้วทั้งในด้านคุณภาพ งานฝีมือ ความหลากหลายของวัตถุดิบ และการออกแบบที่สอดแทรกด้วยอัตลักษณ์ไทย โดยในปี 2567 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น คิดเป็นมูลค่ากว่า 323,000 ล้านบาท

“นอกจากนี้ อุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 90 เป็น SMEs มีการจ้างงานในซัพพลายเชนถึงกว่า 2 ล้านคน กรมฯ จึงร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดงานเพื่อเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยกรมฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประทศ ทั้ง 58 แห่ง ทั่วโลก เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้า นักธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงแรม และโปรเจคต่าง ๆ เข้าชมงาน รวมทั้งจัดเตรียมสินค้าไฮไลท์ที่ตรงตามความต้องการของผู้นำเข้า และผู้ซื้อทำให้ได้รับความสนใจที่จะมาเลือกซื้อสินค้าภายในงานเป็นจำนวนมาก” นายภูสิต กล่าวเพิ่มเติม

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในโอกาสเดียวกันว่า “งาน STYLE Bangkok 2024 เป็นงานที่ได้รวบรวมผู้ประกอบการไทยหลากหลายอุตสาหกรรม และมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ภายใต้แนวคิด Sustainability และยังมีเป้าหมายมุ่งสู่การใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance)

“สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เชื่อว่า งาน STYLE Bangkok ในครั้งนี้จะทำให้ผู้ประกอบการชาวไทยได้เจรจาการค้ากับคู่ค้าสำคัญจากทั่วโลกเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นของไทย อันจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต” นายสนั่น กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ช่วยสนับสนุนงาน STYLE Bangkok ให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน ทั้งในการดึงเครือข่ายผู้เข้าร่วมงาน พัฒนาระบบรับสมัครเข้าร่วมงานแบบออนไลน์ การประชาสัมพันธ์งาน ไปจนถึงการสร้างความหลากหลายให้กับสินค้าภายในงาน ทำให้งานคึกคัก และได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ นักออกแบบ สตาร์ทอัพ และวิสาหกิจชุมชนจากทั่วประเทศ รวมถึงผู้ส่งออกและผู้ค้าในต่างประเทศอย่างล้นหลาม” นายสนั่น กล่าวอย่างมั่นใจ

STYLE Bangkok เป็นเวทีการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นแนวสร้างสรรค์ระดับนานาชาติที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย เป็นหนึ่งในกลยุทธ์พัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเชิงรุกของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ SMEs ทุกระดับรวมถึงดีไซเนอร์ไทย ได้เจรจาการค้า และสร้างพันธมิตรกับผู้ซื้อทั่วโลก  งานที่จัดขึ้นภายใต้ธีม 'ChicNature' ในปีนี้จะครอบคลุมสินค้าหลากหลาย ทั้งไลฟ์สไตล์ แฟชั่นและงานคราฟต์ที่มีดีไซน์ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ในแบบฉบับของแต่ละคน ที่สำคัญ STYLE Bangkok ยังเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจ และความตระหนักเพื่อพัฒนาสู่การทำธุรกิจที่ยั่งยืน

“STYLE Bangkok 2024 มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า ทั้งไทยและนานาชาติกว่า 490 บริษัท 820 คูหา และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 30,000 ราย” นายภูสิต ได้เปิดเผยอีกว่า “ไฮไลท์พิเศษของปีนี้คือ พาวิลเลียน 'ผ้าไทยใส่ให้สนุก' โดยความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการพัฒนาชุมชน ในการนำผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีศักยภาพจากโครงการ 'ผ้าไทยใส่ให้สนุก' ต่อยอดเพื่อขยายตลาดสู่สากล ซึ่งเป็นไปตามแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยสู่สากล”

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมพิเศษอื่นๆ มากมาย ทั้ง “Art Zone” “ถนนนิทรรศการ” จากโครงการพัฒนาสินค้าเชิงลึกต่าง ๆ ของกรมฯ อาทิ STYLE Bangkok Collaboration Project, Material Thai to Japan, Host & Home, DEmark-, G Mark, Designers’ Room & Talent Thai นิทรรศการและการแสดงแฟชั่นโชว์จากโครงการ Qurated Fashion Incubation Project และอื่นๆ อีกมาก และเป็นครั้งแรกสำหรับงานแสดงสินค้าในเอเชีย STYLE Bangkok 2024 จะมีการนำเสนอเทคโนโลยี AR ให้ผู้ชมงานสำรวจสินค้าและผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ 3 มิติ ผ่านการสแกน QR Code ได้ทั้งก่อนและหลังเข้าชมงาน เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเข้าถึงสินค้าและผลิตภัณฑ์

STYLE Bangkok 2024 มีกำหนดจัดระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2567 แบ่งเป็นวันเจรจาธุรกิจ วันพุธที่ 20 – ศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2567 เวลา 10.00-18.00 น. และวันจำหน่ายปลีกวันเสาร์ที่ 23-อาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567  เวลา 10.00-21.00 น. ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้ที่สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stylebangkokfair.com Facebook/Instagram/TikTok : Style Bangkok Fair หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

ในงานประชุมระดับโลกด้านเทคโนโลยีไร้สาย โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) หัวเว่ยต้อนรับผู้ให้บริการเครือข่าย พันธมิตรอุตสาหกรรม และผู้นำทางความคิดจากทั่วโลก ณ โซนจัดแสดง “Advance Intelligence” เพื่อหารือการผนึกกำลังด้านเครือข่าย-คลาวด์-เทคโนโลยีอัจฉริยะในอนาคต โดยหัวเว่ยมุ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะในหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมสร้างอีโคซิสเต็มอุตสาหกรรมให้เติบโต เร่งวงจรธุรกิจ 5G เชิงบวก พร้อมปูทางสู่ยุค 5.5G ที่กำลังจะมาถึง

บูธของหัวเว่ย ณ โถงจัดแสดง 1 ออกแบบเพื่อจำลองโลกดิจิทัลแห่งอนาคตพร้อมการเชื่อมต่ออัจฉริยะอย่างสมบูรณ์แบบ โดยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลกอัจฉริยะในอนาคตจะได้รับการบูรณาการเพื่อตอบโจทย์ทุกด้านของชีวิต รวมถึงด้านอุตสาหกรรมและสังคม เนื่องจากศักยภาพของเทคโนโลยีทางด้านเครือข่ายจะต้องสอดรับกับ ความต้องการในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน ที่อยู่อาศัย ธุรกิจ และยานพาหนะ ได้ดียิ่งขึ้น ภายในงาน หัวเว่ยจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชันแบบครบวงจรในรูปแบบ 5.5G, F5.5G และ Net5.5G ที่พร้อม ใช้งานในสถานการณ์หลากหลาย และมุ่งผนึกกำลังร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายระดับโลกและพันธมิตรในอุตสาหกรรม เดินหน้าเปิดวิสัยทัศน์ตอบรับทุกความท้าทายและโอกาส ปูทางสู่ความเป็นผู้นำระบบอัจฉริยะแห่งโลกอนาคต

ในปี 2556 ที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เปิดตัวเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ทั่วโลกกว่า 300 เครือข่าย ให้บริการผู้ใช้งานมากกว่า 1,600 ล้านคน ในปัจจุบัน การพัฒนา 5G ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจำนวนผู้ใช้ 5G ทั่วโลกมีอัตราเติบโตสูงกว่าผู้ใช้ 4G ถึงเจ็ดเท่าในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ผู้ให้บริการเครือข่ายที่ใช้โซลูชันของหัวเว่ยยังครองอันดับ 1 ด้านประสบการณ์การใช้งานเครือข่าย จากการทดสอบประจำปี พ.ศ. 2566 ซึ่งจัดโดยองค์กรชั้นนำในเมืองสำคัญในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์ หัวเว่ยยังมุ่งผนึกกำลังผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกและพาร์ทเนอร์เพื่อค้นหาโซลูชันที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย ตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้นด้านการใช้งานและการใช้ประโยชน์จาก 5.5G ในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจากการทำงานร่วมกันทำให้สามารถสนับสนุนการทดสอบเทคโนโลยี 5.5G และการใช้งานเครือข่ายเพื่อขยายตลาด 5.5G ที่กำลังเติบโตได้

หัวเว่ยช่วยส่งเสริมผู้ให้บริการได้ตรวจสอบและทดสอบระบบ 5.5G เชิงพาณิชย์ในมากกว่า 20 เมืองทั่วโลก โดยภูมิภาคตะวันออกกลางได้ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องการพัฒนา 5.5G โดยคณะมนตรีความร่วมมือรัฐ อ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council - GCC) ทั้ง 6 รัฐได้ทดสอบเครือข่าย 5.5G ที่อัตราความเร็ว 10 Gbps เสร็จสมบูรณ์ และเริ่มงานด้านบริการโซลูชันใหม่อย่าง RedCap และ IoT แบบ passive เป็นที่เรียบร้อย

ผู้ให้บริการเครือข่าย 3 รายใหญ่ในประเทศจีนต่างเริ่มใช้งานเครือข่าย 5.5G ในเมืองหลักเพื่อสำรวจบริการเครือข่ายที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างผู้คน สิ่งของ ยานพาหนะ อุตสาหกรรม และที่อยู่อาศัย โดยในฮ่องกงผู้ให้บริการทดสอบเครือข่าย 5.5G ในระดับความเร็ว 10 Gbps ในย่าน C-band และ mmWave เสร็จสิ้นและเริ่มให้บริการ 5.5G FWA แล้ว

ในยุโรป ผู้ให้บริการในประเทศฟินแลนด์สรุปผลการตรวจสอบเทคโนโลยี 5.5G เชิงพาณิชย์ โดยรายงานอัตราความเร็วสูงสุดที่สูงกว่า 10 Gbps และทำการทดสอบเทคโนโลยี IoT แบบ passive เสร็จสิ้น ในเยอรมนี ผู้ให้บริการที่ทำงานบนย่านความถี่ 6 GHz รายงานอัตราความเร็วสูงสุดที่ 12 Gbps โดยใช้เทคนิคแบบผู้ให้บริการหลายราย

นอกจากนี้ ในงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส หัวเว่ยได้เปิดตัวโมเดลพื้นฐานโทรคมนาคมรุ่นแรกของอุตสาหกรรม โดยโมเดลพื้นฐานนี้มอบการใช้งานอัจฉริยะตามบทบาทและตามสถานการณ์ เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรม โดยเน้นบริการที่คล่องตัว รับรองประสบการณ์การใช้งานที่แม่นยำ ตลอดจนระบบการดำเนินงานและการบำรุงรักษา (O&M) ที่ทรงประสิทธิภาพทั้งโดเมน นอกจากนี้ยังเพิ่มศักยภาพการทำงานให้พนักงานของผู้ให้บริการและยกระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายอย่างครอบคลุม

5.5G เชิงพาณิชย์จะเริ่มให้บริการในปีพ.ศ. 2567 หัวเว่ยตอกย้ำความมุ่งมั่นในการผนึกกำลังร่วมกับผู้ให้บริการ ทั่วโลกเพื่อยกระดับเครือข่าย 5.5G พร้อมมุ่งเป้าสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมและเปี่ยมประสิทธิภาพ โดยทำงานเชื่อมต่อกันทุกที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีเสถียรภาพ และเป็นเครือข่ายอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ เพื่อผลักดันให้ผู้ให้บริการส่งมอบประสบการณ์ใช้งานที่เหนือระดับ สร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเพื่อนำการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะไปสู่การใช้งานระดับลึกยิ่งขึ้น และนำเราเข้าสู่โลกอัจฉริยะได้อย่างรวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจองค์กรของหัวเว่ยจะเปิดตัวโซลูชันดิจิทัลอัจฉริยะใหม่สำหรับ 10 อุตสาหกรรม และทัพผลิตภัณฑ์เรือธงภายใต้หัวข้อ “โครงสร้างพื้นฐานชั้นนำเพื่อเร่งความอัจฉริยะทางอุตสาหกรรม” (Leading Infrastructure to Accelerate Industrial Intelligence) หัวเว่ยพร้อมร่วมมือกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทั่วโลก เพื่อสำรวจนวัตกรรมใหม่และแนวทางปฏิบัติด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะ นอกจากนี้ หัวเว่ยมุ่งมั่นเป็นพาร์ทเนอร์หลักที่น่าเชื่อถือเพื่อนำทางสู่การเปลี่ยนผ่านดิจิทัลแบบอัจฉริยะอย่างเต็มรูปแบบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ในส่วนของกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารสำหรับผู้บริโภค ของหัวเว่ย ได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์เรือธงระดับไฮเอนด์ ล้ำหน้าด้านการออกแบบ และเทคโนโลยีอัจฉริยะภายในงาน โดยแบ่งเป็นโซนประสบการณ์ตามสถานการณ์ เช่น “การออกแบบสุดล้ำ” “การรังสรรค์ความงาม” และ “ฟิตเนสและสุขภาพ” มุ่งเน้นตัวอย่างโซลูชันของหัวเว่ยที่สอดรับกับชีวิตประจำวันด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำและสร้างประสบการณ์เหนือระดับตามรูปแบบสถานการณ์ กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ของหัวเว่ยมุ่งมั่นลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยีในปีพ.ศ. 2567 และสร้างประสบการณ์เหนือระดับสอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ปรับเปลี่ยนได้เฉพาะบุคคลสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก

งานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 29 กุมภาพันธ์ ณ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยหัวเว่ยจัดแสดงทัพผลิตภัณฑ์และโซลูชันเรือธงใหม่ล่าสุด ที่บูธ 1H50 ใน Fira Gran Via Hall 1

การเปิดตัว 5.5G เชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2567 หัวเว่ยร่วมมือกับผู้ให้บริการและพาร์ทเนอร์ทั่วโลกเพื่อค้นหานวัตกรรมใหม่ที่น่าตื่นเต้นในด้านเครือข่าย คลาวด์ และระบบอัจฉริยะ พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจ 5G และส่งเสริมอีโคซิสเต็มอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต เพื่อผลักดันสู่ยุคใหม่ของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะอย่างเต็มรูปแบบ โดยสามารถดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://carrier.huawei.com/en/events/mwc2024 

ขานรับสัญญาณส่งออกฟื้น ด้วยวงเงินสินเชื่อเต็มศักยภาพธุรกิจ พร้อมอัดฉีดสิทธิพิเศษเพิ่ม

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ยกระดับโครงการ UOB My Digital Space (MDS) มอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักเรียนขาดโอกาสกว่า 4,000 คน ขยายจาก 3 โรงเรียนสู่ 6 โรงเรียนใน 6 จังหวัดได้แก่กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น ชลบุรี พะเยา และลำปาง โครงการ UOB MDS เป็นโครงการหลักที่สนับสนุนด้านการศึกษาของกลุ่มธนาคารยูโอบี มีแผนดำเนินโครงการในระยะยาวเพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาของเด็กที่ขาดโอกาสให้เข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อเป็นเครื่องมือให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ในโลกดิจิทัล และพร้อมที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอาเซียนไปด้วยกัน โดยนอกเหนือจากการมอบห้องคอมพิวเตอร์และเครื่องมือการเรียนรู้ดิจิทัลวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โครงการ UOB MDS ได้ขยายไปสู่ความรู้ทางการเงินและการแนะแนวอาชีพ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของยูโอบี ในการพัฒนาส่งเสริมเด็กและเยาวชนในอาเซียนให้พร้อมสำหรับเติบโตไปในอนาคต

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เพราะเทคโนโลยีได้กำหนดอนาคตแห่งการเรียนรู้ โครงการ UOB My Digital Space จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเด็กนักเรียนที่ขาดโอกาสให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ด้วยการผสานเทคโนโลยีเข้ากับการศึกษา ที่จะช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่างๆ เพื่อให้เด็กพร้อมสำหรับอนาคต อาทิ การคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความรู้ทางดิจิทัล พร้อมปลูกฝังความรู้ทางการเงินที่เริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของเราที่จะดูแลเคียงข้างชุมชนเพื่อพัฒนาผู้คนในอาเซียน ตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของสถาบันการเงิน นับเป็นกลยุทธ์สำคัญการดำเนินงานของเราเพื่อให้แน่ใจว่าเยาวชนในวันนี้จะสามารถเติบโตได้ในระบบเศรษฐกิจอนาคต”

การขยายขอบเขตของโครงการ MDS นับเป็นการดำเนินงานที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านการศึกษาในเวลาที่เหมาะสม ดังเช่นที่ปรากฏจากผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือ PISA ปี 2565 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) พร้อมชี้ให้เห็นว่าการริเริ่มการเรียนรู้แบบดิจิทัลหรือ e-learning ให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของทรัพยากรด้านดิจิทัล การมีเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่เหมาะสม และความพร้อมใช้งานของแพลตฟอร์มการเรียนรู้

นางสาวกนกวรรณ โชว์ศรี ผู้อำนวยการโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ กล่าวว่า “ปีนี้ โครงการ UOB My Digital Space ได้บูรณาการองค์ประกอบการเรียนรู้สำคัญเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนอีก 2 วิชาได้แก่หลักสูตรการเงินออนไลน์เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี และเครื่องมือการแนะแนวอาชีพ เพื่อสนับสนุนให้นักศึกษาตั้งเป้าหมายของตนเองให้เหมาะสมกับความสามารถและคุณค่าของชีวิตได้ ด้วยเครื่องมือดิจิทัลทั้งหมดนี้ทั้งในด้านวิชาการและทักษะชีวิต นักเรียนสามารถเข้าไปเรียนรู้บนระบบออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา

นอกจากเครื่องมือดิจิทัลแล้ว โครงการ MDS ยังมุ่งเสริมศักยภาพให้กับครูผู้สอนเพิ่มเติมในสาขาที่มีความต้องการสูงด้วยวิธีการสอนที่ทันสมัย นายประวิทย์ สิงห์เรือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อพลอยรัชดาภิเษก จังหวัดกาญจนบุรี ยืนยันถึงผลกระทบในการเปลียนแปลงของโครงการ โดยสังเกตเห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นเป็นสำคัญในการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพของนักเรียน อันเป็นผลมาจากทรัพยากรการเรียนรู้ดิจิทัลที่นักเรียนสามารถเข้าถึง

นายประวิทย์ สิงห์เรือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อพลอยรัชดาภิเษก จังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งในโรงเรียนใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนห้องเรียนรู้ดิจิทัล UOB My Digital Space กล่าวว่า “ก่อนหน้าที่เราจะได้รับการสนับสนุนจากโครงการ UOB My Digital Space นักเรียนต้องใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันด้วยทางโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ขอขอบคุณทางธนาคารยูโอบี ประเทศไทยที่ได้มอบห้องเรียนรู้ดิจิทัลให้กับทางโรงเรียน ซึ่งไม่เพียงแต่เด็กนักเรียนจะได้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์และวิชาเรียนดิจิทัลแล้ว นักเรียนยังได้เรียนกับครูรุ่นใหม่จาก Teach for Thailand อีกด้วย ซึ่งเราได้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นจากนักเรียนของเรา ที่พวกเขาต่างสนุกกับการเรียนรู้ในชั้นเรียนและมีผลการเรียนที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนครูของเราในการเตรียมการสอนในชั้นเรียนได้ดีมีประสิทธิภาพขึ้น”

เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ตอกย้ำ Brand essence “ประกันความรักคุณ” ในเดือนแห่งความรัก ชวนผู้บริหาร แชร์แนวคิดการทำงาน เพื่อให้พนักงานทุกฝ่ายได้เรียนรู้และเข้าใจรากฐานของธุรกิจที่มาจากความต้องการที่จะคุ้มครองสิ่งที่เรารักและให้ความสำคัญ ด้วยกิจกรรม “Everyday LOVE เพราะทุกความรักสำคัญเสมอ

 

โดยภายในงานได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารกลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ อาทิ นางสาวสายฝน คงจิตต์งาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและสนับสนุนองค์กร นางสาวช่อฟ้า ยุกตะนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้า กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงานจากหลากหลายแผนกเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อร่วมแชร์แนวคิดการบริหารงานในด้านต่าง ๆ และตอกย้ำแนวคิดขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับบุคคลากร ความหลากหลาย และความเท่าเทียม (DEI) โดยในงานได้มีการแชร์แนวคิด พูดคุยถึงที่มาของการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างการบริการลูกค้าให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ

โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้โครงการ Lunch & Learn ที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้บริหารและพนักงานได้มาร่วมพูดคุย แชร์ความคิดเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ และแนวทางการทำงานในแต่ละแผนกในบรรยากาศที่เป็นกันเอง เมื่อเร็วๆ นี้ ณ เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ สำนักงานใหญ่

X

Right Click

No right click