ยกระดับสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ พัฒนาเขตนวัตกรรม เชื่อมกลไกระดับนานาชาติ สนับสนุนเทคโนโลยีและเงินทุนสู่เป้าหมาย Net Zero Emission

ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยผ่านสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ HONOR X8b ภายใต้คอนเซปต์ “ถ่ายภาพสนุก ความจุเต็มพิกัด” ชูไฮไลต์เด่นกล้องหลังความละเอียดสูง ด้วยระบบกล้อง 3 ตัว กล้องหน้าเซลฟี่ 50 ล้านพิกเซล พร้อม Soft Flashlight ที่ยกระดับประสบการณ์การถ่ายภาพที่ดีที่สุด ผสานหน้าจอ AMOLED สีสันสว่างสดใส ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว ตลอดจนประสิทธิภาพการใช้งานที่ไร้ขีดจำกัดด้วยความจุที่ให้มาเยอะที่สุด เมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนในระดับราคาใกล้เคียงกัน เตรียมพร้อมเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 และโปรโมชันพิเศษรับฟรีแก้วเก็บอุณหภูมิ มูลค่า 499 บาท เมื่อซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 10 พฤษภาคม – 14 มิถุนายน 2567 เริ่มจำหน่ายวันแรกตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

HONOR X8b สมาร์ตโฟนระดับกลางใหม่ล่าสุดจาก HONOR X Series มาพร้อมดีไซน์เรียบหรูสวยงามเป็นเอกลักษณ์ มีน้ำหนักเบา พกพาง่าย จับถนัดมือ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เน้นจับกลุ่มวัยรุ่น สายแฟชั่น คนทำงาน รวมถึงผู้ที่สนใจเทคโนโลยีและชื่นชอบการถ่ายภาพด้วยสมาร์ตโฟน โดยรุ่นนี้อัดแน่นด้วยคุณสมบัติพรีเมียมมากมาย ชูจุดขายด้วยประสิทธิภาพกล้องความละเอียดสูง พร้อมระบบกล้องถึง 3 ตัว ได้แก่ กล้องหลักความละเอียด 108MP, กล้อง Wide + Depth ความละเอียด 5MP และกล้องมาโครความละเอียด 2MP ทำให้เก็บได้ทุกรายละเอียด ได้ภาพที่คมชัดระดับมืออาชีพทั้งกลางวันและกลางคืน พร้อมด้วยกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 50MP กับ Soft Flashlight ที่ให้ภาพถ่ายสว่างสดใส ดูเป็นธรรมชาติ ผสานศักยภาพการใช้งานเต็มพิกัดด้วยความจุถึง 512GB ที่ให้พื้นที่การจัดเก็บข้อมูลกับผู้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนเติมเต็มอรรถรสในการรับชมคอนเทนต์ความบันเทิงด้วยหน้าจอแสดงผล AMOLED สีสันสดใส ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินและรับประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุด

ห้ามพลาด! เตรียมสัมผัสประสบการณ์การถ่ายด้วยกล้องมือถือที่ดีที่สุด ถ่ายภาพสนุกทั้งวันกับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด HONOR X8b เริ่มวางจำหน่ายสินค้าที่ HONOR Experience Store ทุกสาขา และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป พร้อมรับโปรโมชันของแถมสุดพรีเมียม ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hihonor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand

ดอกเบี้ยต่ำ 2.31% ผ่อนน้อย 3,100 บาท/เดือน จัดหนัก แจกของแถมสูงสุด 31 รายการ

บริษัท อัลติเมท เดสตินี่ จำกัด (ULTIMATE DESTINY) ร่วมกับ บริษัท บิทคับ มูนช็อต จำกัด จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “แพลตฟอร์ม U-Destiny” แพลตฟอร์มแรกที่ให้บริการ ดูดวงแบบ AI Astrology มาพร้อม 12 ฟีเจอร์เด่น เอาใจสายมูให้สามารถเข้าถึงทุกโหราศาสตร์หลายแขนง ได้ทุกที่ทุกเวลา ที่จะพาทุกคนเปิดจักรวาลพรหมลิขิต ด้วยฟีเจอร์แรกสุดล้ำ โหงวเฮ้ง AI ศาสตร์การอ่านใบหน้า ที่นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ประมวลผลเพื่อให้ได้ผลการทำนายที่มีความถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว นำทีมโดย นางสาวอันธิกา ลิมปิอนันต์ชัย (ซินแสมาสเตอร์อลิซ) นายเชาวนนท์ คลังเปรมจิตต์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติเมทเดสตินี่ จำกัด นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และนายธนัท เบญจภัทรเศรษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม บริษัท บิทคับ มูนช็อต จำกัด ร่วมเปิดตัว ณ สยามพารากอน กรุงเทพฯ

2 ผู้ก่อตั้ง U-Destiny นำทัพโดย ซินแสมาสเตอร์อลิซ และ นายเชาวนนท์ คลังเปรมจิตต์ กล่าวว่า “U-Destiny นั้นมีที่มาจาก Your Destiny พรหมลิขิตของคุณอยู่ที่ปลายนิ้วสัมผัส แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้สายมูทุกท่านได้เข้าถึงการดูดวง โหงวเฮ้ง คาแรกเตอร์ที่ซ่อนในตัวคุณ ด้วยการวิเคราะห์โดยใช้โหราศาสตร์ผสมผสาน AI ได้อย่างแม่นยำ ทุกที่ทุกเวลา เสมือนมีเพื่อนคู่คิด (Companion) ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยสร้างกำลังในใจการทำงาน การใช้ชีวิต เสริมสร้างความมั่นใจในทุกๆวัน ซึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดของ U-Destiny คือ โหงวเฮ้ง AI ที่นำเทคโนโลยี AI นำมาใช้ในการสแกนเพื่อวิเคราะห์ใบหน้าแบบเรียลไทม์ โดยไม่มีการเก็บข้อมูลของลูกค้า และสามารถผสานรวมการวิเคราะห์ทุกศาสตร์ไว้ที่เดียวไม่ว่าจะเป็น การทำนายวาสนา ดวงชะตาด้านการเงิน การงาน และความรัก มาพร้อมกับอีก 2 ฟีเจอร์ยอดนิยมของสายมู คือ ฟีเจอร์คาแรกเตอร์ที่ซ่อนในตัวคุณ และฟีเจอร์ Daily Mood ที่สามารถวิเคราะห์ดวงประจำวันได้ครบ 365 วัน” ซึ่งมีการสาธิตการใช้งาน ฟีเจอร์ โดยได้รับเกียรติจากนักธุรกิจหญิงดาวรุ่ง คุณวริสรา เตชะวิเชียร CEO Green Life Printing และ Infinite Paper Lab มาเล่าความประทับใจในการมูกับ U-Destiny ที่ช่วยเสริมความปังทั้งในธุรกิจและชีวิตส่วนตัว

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เปิดเผยว่า “แพลตฟอร์ม U-Destiny เป็น Use case แรก ๆ ที่นำศาสตร์การทำนายดวงชะตากับเทคโนโลยี AI เข้ามาผสมผสานกัน จนออกมาเป็นแอปพลิเคชันดูดวงที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และเท่าเทียมกันมากขึ้น เนื่องจากคนไทยกับมูเตลูเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมานาน อย่างบิทคับ กรุ๊ปที่แม้จะเป็นบริษัทฟินเทคสัญชาติไทย แต่ก็เอาความเชื่อในสายมูเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนบริษัทให้มีการเติบโตและประสบความสำเร็จเช่นกัน ส่วนทิศทางของเทคโนโลยี AI นั้น ในปี 2566 ถูกเรียกว่าเป็นปีแห่งการทดลองเล่น ซึ่งคนในวงทั่วไปก็จะได้รู้จัก ChatGPT กันมากขึ้น แต่ปี 2567 จะเป็นปีแห่งการใช้งานจริง เราจะได้เห็น AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมากขึ้นผ่านแอปพลิเคชันพื้นฐานต่าง ๆ เช่น Line, Microsoft apps, Evernote ฯลฯ โดยจะมี AI Function เป็นทางเลือกให้ได้รับการบริการที่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพียงเล็กน้อย แต่แลกกับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งตนเชื่อว่า ปีนี้คนไทยจะได้เห็นการนำเทคโนโลยี AI มาใช้แก้ไขหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตมากขึ้น”

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีช่วงสุดพิเศษ “มูกับ U-Destiny” ที่ได้รับเกียรติจาก Speakers ที่ฮอตที่สุดในศตวรรษนี้ มาเสวนาร่วมกับ 2 ผู้ก่อตั้ง U-Destiny ในเรื่องความสำเร็จของแต่ละท่านและความมูที่ทั้ง 3 ท่านมา x หรือ “มูกับ U-Destiny”

ท่านแรก คุณจิรพิสิษฐ์ รุจน์เจริญ กรรมการผู้จัดการ Event Gold เจ้าของ Character Design Lazy Cat (เจ้าเมื่อย) พลังซอฟท์พาวเวอร์ที่โด่งดังไปทั่วโลก มาพร้อมกับแคมเปญพิเศษ หน้าจอมงคล “เจ้าเมื่อย  X  U-Destiny” กับการขอพร 9 ประการ

ท่านที่สอง คุณทัพไทย ฤทธาพรม CEO และ Co-founder DreamDesk Co.,Ltd. และCEO บริษัท JYT E-Commerce (เจ้าของแบรนด์ HAAB) มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ 10X Success งานกลยุทธ์ที่เน้นทั้งศาสตร์และศิลป์มูฮวงจุ้ยธุรกิจเสริมความปังจนฉุดไม่อยู่

ท่านที่สาม คุณโสฬส เตียวเดชวรรณ CEO บริษัท แอคทีฟพลัส บลู จำกัด ความสำเร็จในการต่อยอดจากแบรนด์แก้วของฝาก พัฒนาขนมไทยสู่ตลาดโลก ด้วยแคมเปญ กล่องมังกร ทองม้วน กับการ์ด 8 เทพมงคลกับมาสเตอร์อลิซ U-Destiny ที่สร้างความมูและความปังพร้อมกัน

สำหรับสายมูเตลูและผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ LINE OA: @udestiny หรือโทร: 094-193-5659, 098-824-6999

บริษัทในเครือ ตังกุยจั๊บเบฟเวอเรจ ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโสมสกัด โดย นายพิชัย กิจอิทธิ กรรมการผู้จัดการ ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกที่นำเข้ารากโสมแท้จากประเทศเกาหลี ด้วยความเชี่ยวชาญในการผลิตยาโสมเกาหลีตังกุยจับ ที่มีจำหน่ายในปี มามากกว่า 50 ปี จนเป็นที่รู้จักของตลาด ในปี 2539 เราได้คิดค้นและนำไปสู่การผลิตเครื่องดื่มจีเอสดี โสมเกาหลีตังกุยจับ ขนาด 100 มล. มาในปีนี้เราจึงได้เปิดตัวเครื่องดื่ม "จีเอสดี โสมเกาหลีตังกุยจับ สูตรเพิ่มทอรีน 1000 มก." ขนาดใหม่ 150 มล. ในราคาเพียง 12 บาท เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับเครื่องดื่มที่มีปริมาณมากขึ้น อัดแน่นด้วยวิตามินและคุณประโยชน์ที่มากขึ้นแบบคุ้มค่า โดยยังมีส่วนผสมเป็นโสมเกาหลีสกัด 450 มก. ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ลดความอ่อนเพลีย และเพิ่มทอรีน 1000 มก. ช่วยเพิ่มพลังกาย ตื่นตัว บรรเทาอาการง่วงซึมและเหนื่อยล้าจากการทำงาน ได้คุณค่าแบบเต็มขวด

คุณพิชัย กล่าวว่า “ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยมีสภาพซบเซาในช่วงสถานการณ์ Covid-19 ซึ่งทำให้ผู้ปริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น และในปี 2566 ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้ตลาดเติบโต 22,000 ล้านบาท โดยเติบโตขึ้นถึง 15.27% หลังจากช่วงสถานการณ์ Covid-19 ผ่านพ้นไป โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังที่มีส่วนผสมของโสม สอดรับกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์ในประเทศไทย ช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ตังกุยจั๊บเบฟเวอเรจ ในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์โสมเกาหลี มองเห็นโอกาสในตลาดนี้ จึงได้พัฒนา “เครื่องดื่ม จีเอสดี โสมเกาหลีตังกุยจับ สูตรเพิ่มทอรีน 1000 มก. ขนาดใหม่ 150 มล. ที่ให้มากกว่าวิตามิน แต่เรายังให้โสมเกาหลีสกัดที่เสริมสร้างสมรรถภาพทางร่างกาย สร้างภูมคุ้มกันให้แข็งแรง เราจึงอยากให้ผู้บริโภคที่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังอยู่แล้วหันมาดื่มเครื่องดื่มชูกำลังผสมโสมที่ดีดูบ้าง เพราะรสชาติของเราหอม อร่อย กลมกล่อม เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2567 ไว้ที่ 250 ล้านบาท”

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทฯ มุ่งเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ เว็บไซต์ และ Influencer Marketing เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา และผู้รักสุขภาพ ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคทดลองชิมสินค้า เรามั่นใจว่า เครื่องดื่ม จีเอสดี โสมเกาหลีตังกุยจับ สูตรเพิ่มทอรีน 1000 มก. ขนาดใหม่ 150 มล. จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง และสามารถขยายฐานลูกค้า เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้อย่างแน่นอน”

บริษัทใน ตังกุยจั๊บเบฟเวอเรจ มีความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์จากโสมเกาหลี ตั้งแต่การคัดเลือก นำเข้า และกระบวนการสกัดด้วยสูตรเฉพาะ มุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีคุณภาพ ตามสโลแกน "นึกถึงโสม ต้องโสมเกาหลีตังกุยจับ" No.1 Ginseng in Thailand

เครื่องดื่ม จีเอสดี โสมเกาหลีตังกุยจับ สูตรเพิ่มทอรีน 1000 มก. ขนาด 150 มล. ราคาขวดละ 12 บาท มีจำหน่ายที่ร้าน 7Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือกิจกรรมน่าสนใจได้ที่เว็บไซต์ www.tangguijub.com เพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/GSDGinsengDrink และ Line Official: @GSDdrink

พร้อมจัดโปรโมชั่นสินค้าสุดคุ้มช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ชุดนักเรียนราคาเริ่มต้น 69 บาท

อย่าพลาดโอกาสดี ๆ กับสุดยอดสินค้า 23 แบรนด์จากไต้หวันในมหกรรมสถาปนิก 67 เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน โดยมุ่งมั่นนำเสนอในด้านการใช้ชีวิตอัจฉริยะและเมืองยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างอุตสาหกรรมของไต้หวัน ไทย และอาเซียน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคมนี้ ณ บูธ P105-P106 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สตรีมโดยอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง การนำเสนอโซลูชันการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม พาทัวร์ชมสินค้า และอื่นๆ อีกมากมาย โดยได้รับเกียรติจากคณะจัดงานสถาปนิก’67 อาทิ นางสาวกุลธิดา ทรงกิตติภักดี, ดร.พร้อม อุดมเดช ประธานจัดงานร่วมสถาปนิก และนายศุภแมน มรรคา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมบูธในครั้งนี้

นายไบรอัน ลี ผู้อำนวยการบริหารสายงานการตลาด Taiwan Excellence สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) กล่าวว่า "ในฐานะผู้จัดงาน Taiwan Excellence ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เชิญชวนผู้จัดแสดงสินค้าและผู้ประกอบวิชาชีพจากประเทศไทยและอาเซียนในมหกรรมสถาปนิก’ 67 หวังเป็นการร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมจากไต้หวัน ผนวกกับประสบการณ์ของไต้หวันและไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และร่วมมือกันในแนวทางที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนาระดับนานาชาติ"

ไต้หวันมีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในการจัดการภัยพิบัติ และมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมตามแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม

ในปีนี้ นิทรรศการ Taiwan Excellence เกิดขึ้นจากแนวคิดความยั่งยืนด้วยการนำหลักการ 3Rs: การนำกลับมาใช้ใหม่ การลดปริมาณ และการรีไซเคิล มาประยุกต์ใช้ โดยมีวัสดุที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำได้ถึง 96% นอกจากนี้ เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและไทย หลังเสร็จสิ้นงานจะมีการบริจาคของเล่นเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมให้แก่องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรในประเทศไทย เพื่อปลูกฝังความสนใจในการออกแบบทางสถาปัตยกรรมในหมู่เยาวชนอีกด้วย

นายนิค นี ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย เผยว่า “Taiwan Excellence เป็นเหมือนสัญลักษณ์อุตสาหกรรมของไต้หวัน ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าด้านนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรและแบรนด์ไต้หวันในเวทีระดับนานาชาติอีกด้วย”

สานสัมพันธ์ทางความคิดเพื่อความยั่งยืน: สร้างศักยภาพร่วมกันระหว่างไต้หวันและไทย

แบรนด์ AUO, E Ink และ YZTEK จะนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับศักยภาพความร่วมมือระหว่างไต้หวันและไทยในสาขาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมภายใต้แนวคิด “สานสัมพันธ์ทางความคิดเพื่อความยั่งยืน: สร้างศักยภาพร่วมกันระหว่างไต้หวันและไทย”

นายบีเรน ซิเอะ ผู้แทนจากบริษัท เอยูโอ เปิดเผยว่า “เราพยายามผสานนวัตกรรมที่ยั่งยืนเข้ากับการออกแบบที่โดดเด่นสำหรับอนาคต ด้วยความมุ่งมั่นในนวัตกรรมและคุณภาพระดับสูงสุด AUO นำเสนอ “FindARTs High Fidelity ART Display” จอแสดงผลคุณภาพระดับ museum-grade ยกระดับประสบการณ์ทางศิลปะในโรงแรมหรูและนิทรรศการ เทคโนโลยีล้ำสมัยของเราช่วยให้ผลงานมีความคมชัดที่เหนือกว่า พร้อมช่วยให้นักออกแบบสามารถนำเสนอผลงานได้อย่างแม่นยำ ด้วยการบูรณาการผลงานศิลปะอย่างกลมกลืน เราได้นิยามความหรูหราใหม่ สร้างจุดสนใจที่น่าดึงดูดในวงการศิลปะและการออกแบบที่มีชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ ได้อย่างลงตัว”

นายอัลเบิร์ต เหลียง รองประธานอาวุโส บริษัท อี อิงค์ กล่าวถึงโอกาสและความเป็นไปได้ในการใช้ ePaper ในการสร้างเมืองอัจฉริยะและเมืองแห่งการออกแบบว่า “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืน ควบคู่ไปกับการออกแบบที่โดดเด่นและล้ำสมัย ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมจอแสดงผลกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ E Ink มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้คนในยุคของเมืองอัจฉริยะ ePaper โดดเด่นด้วยการใช้พลังงานต่ำและความสามารถในการแสดงข้อมูลดิจิทัลอย่างชัดเจน เปิดโอกาสให้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างครอบคลุมในสถาปัตยกรรม หน้าอาคาร และงานศิลปะสาธารณะ ซึ่งจะเป็นการสร้างสีสันและมิติใหม่ให้กับเมืองในอนาคต”

นายแพทริค ลู ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท วายซีเทค เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน โดยระบุว่า “ด้วยเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้คนผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีอัจฉริยะ YZTEK มุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อัจฉริยะเพื่อให้ความมั่นใจและความสงบสุขแก่ผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ตรวจจับด้วยเซนเซอร์ของเรา เช่น e+Autoff ถูกออกแบบมาให้ติดตั้งบนเตาแก๊ส เพื่อช่วยตรวจสอบและแจ้งเตือนความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นภายในบ้าน เช่น การรั่วไหลของก๊าซหรือการปล่อยก๊าซพิษ เราตั้งใจที่จะคิดค้นนวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน”

คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น: โซลูชันจากไต้หวัน

เทคโนโลยีทางวัฒนธรรม: เทคโนโลยีสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะได้อย่างน่าสนใจ บริษัทชั้นนำเช่น AUO ที่ได้พัฒนาจอแสดงผลที่มีคุณภาพสูง เหมาะสำหรับการนำมาใช้จัดแสดงผลงานศิลปะและจิตรกรรมในสถานที่ระดับพรีเมียมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรู แกลเลอรี่ศิลปะ หรือพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การจัดแสดงงานมีความสวยงามและทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ePaper ผลงานของ E INK ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแอปพลิเคชันเมืองอัจฉริยะ เช่น ป้ายราคาดิจิทัลในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือจอแสดงผลข้อมูลการเดินทางบนป้ายรถเมล์ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มความงดงามและความทันสมัยให้กับการจัดแสดงงานได้อย่างมาก

บ้านอัจฉริยะ: แบรนด์ชั้นนำอย่าง Acerpure, YZTEK, Waterson และ Tokuyo มีกลุ่มเป้าหมายหลักที่สำคัญ ได้แก่ ผู้บริโภคทั่วไป ร้านค้าปลีกสินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้าน รวมถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการนำผลิตภัณฑ์อัจฉริยะเหล่านี้มาใช้ในโครงการของตน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประจำวัน

การก่อสร้างอย่างยั่งยืน: ในยุคปัจจุบันความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ นำไปสู่การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการก่อสร้างอย่างแพร่หลาย บริษัทต่างๆ เช่น Hiss, San Jeou, Walrus, Everlight และ AMA Tech ผลิตวัสดุก่อสร้างเฉพาะทางที่มีคุณสมบัติ เช่น การถ่ายเทอากาศ ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มลูกค้าเป้าหมายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ โรงงานอุตสาหกรรม และบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มุ่งเน้นอาคารสมัยใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ: ผู้ผลิตอย่าง Sheng Yuan, FECA และ Sheng Tai ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ในขนาดและรูปแบบต่างๆ สำหรับใช้ภายในอาคาร เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ ตั้งแต่ผู้บริโภคทั่วไป ร้านค้าปลีกสินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้าน ไปจนถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประจำวันด้วยทั้งการออกแบบที่สวยงามและฟังก์ชันการใช้งานที่ปฏิบัติได้จริง

ในปีนี้ Taiwan Excellence สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนการออกแบบและนวัตกรรมสำหรับโซลูชันสำหรับเมืองอัจฉริยะในเศรษฐกิจ BCG ผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดงได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างครบถ้วน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการรับมือกับประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การปรับปรุงการระบายอากาศเพื่อป้องกันปัญหามลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำ และการทำให้น้ำสะอาดสำหรับการบริโภค

ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้จัดแสดงจากไต้หวันในมหกรรมสถาปนิก’ 67 ได้ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคมนี้ ณ บูธ P105-P106 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ Taiwan Excellence TH Facebook ที่ https://www.facebook.com/TaiwanExcellence.TH/

เพราะ ‘คน’ มีพื้นฐานชีวิต ความถนัด ความชอบ และความต้องการที่แตกต่างหลากหลาย การทำงานบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) จึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในยุค Digital Transformation เพราะนอกจากจะต้องบาลานซ์ความต้องการของคนที่เป็นพนักงานแล้ว ยังต้องวางกลยุทธ์ให้คนทำงานไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด สามารถตอบโจทย์ความต้องการหรือเป้าหมายขององค์กรได้ ด้วยทรัพยากรที่มีและความท้าทายสารพัดด้าน

บทความนี้จะพาไปทำความรู้จัก ดร.ธภัทร อาจศรี Leader, HR Thailand, LIXIL APAC บุคคลที่ทำงานอยู่ในสายงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resource) มานานกว่า 20 ปี ด้วยความรัก (Passion) ที่ได้ทำงานร่วมกับผู้คน ด้วยใจรักในสายอาชีพ และรักในงานแก้ปัญหา ซึ่งส่งผ่านทางใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดการสัมภาษณ์

“HR มีหน้าที่รับฟังปัญหา absorb ความเครียดของคน ของพนักงาน ดังนั้น HR จึงจำเป็นต้องมีทัศนคติที่ดี มีจิตใจเข้มแข็งเป็นพื้นฐาน เพื่อส่งต่อพลังบวก (Positive Energy) ออกไป และเป็นตัวกลางที่คอยหาโซลูชันที่จะตอบโจทย์ทั้งองค์กรและพนักงานแบบ Win-Win Situation”

จากการศึกษาสู่การทำงานด้านบริหาร คนซึ่งมีความต้องการหลากหลาย

ดร.ธภัทรเล่าว่า เริ่มต้นการทำงานในสาย Hospitality ซึ่งเชื่อมโยงสายงานโรงแรมและงานบริการ ทำให้ได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ครอบคลุมไปถึงการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับลูกค้าและพนักงาน กว่า 6 ปีในการทำงาน โดย ดร.ธภัทรค้นพบว่าความรัก (Passion) และความสุขในการทำงานคือการที่ได้ช่วยผู้คนหาทางออกและแก้ปัญหาต่าง ๆ จนสำเร็จลุล่วง จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและต่อยอดให้กับตัวเองในสายงานนี้และตัดสินใจศึกษาต่อทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และธุรกิจอุตสาหกรรม

ต่อจากนั้นได้มีโอกาสร่วมทำโปรเจกต์กับบริษัทจากประเทศออสเตรียเพื่อเซ็ตอัพและสร้างโรงงานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท หลังจากเสร็จโปรเจกต์จึงได้เข้าทำงานใน บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่ง Leader ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย โดยอยู่ใต้ปีกของ LIXIL APAC ภายใต้ LIXIL Corporation ผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดการน้ำและที่อยู่อาศัย ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

เกริ่นก่อนว่า ลิกซิลเป็นองค์กรระดับ Global ที่ดำเนินธุรกิจใน 150 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานรวม 55,000 คน และมีแบรนด์ชั้นนำมากมายที่อยู่ภายใต้การบริหารของ LIXIL อย่าง American Standard, GROHE, INAX, TOSTEM ฯลฯ

สำหรับลิกซิล ประเทศไทย ดร.ธภัทรมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรทุกคน ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่ทำงานในองค์กรมานาน บุคลากรรุ่นใหม่ บุคลากรที่ได้รับการสนับสนุนให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารรุ่นต่อไป ที่สำคัญ เป็นผู้ริเริ่มทำ โครงการพัฒนาทักษะพนักงาน (Talent Development Program) เพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางที่วางไว้ได้ รวมถึงช่วยแก้ปัญหาการพัฒนาศักยภาพของพนักงานที่ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เกิดขึ้น

“Talent Development Program” ไม่ได้ทำแค่การพัฒนาคนให้มีศักยภาพ แต่ยังสามารถช่วยสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับองค์กรได้ด้วย และโครงการนี้ก็เหมือนเรายิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 4 ตัว นกตัวแรก คือการสร้างความมีส่วนร่วมกับพนักงานในองค์กรทุกคน ทุกระดับ เพราะโครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคนในองค์กร นกตัวที่ 2 คือการปิด Pain Point เรื่องอัตราการลาออกของพนักงาน (Turnover Rate) โดยเฉพาะพนักงานในกลุ่มศักยภาพสูงขององค์กร และการขาดแผนการพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนของบุคลากร นกตัวที่ 3 องค์กรได้มีแผนทดแทนที่ชัดเจน (Succession Planning) คือ เตรียมคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้บริหารในอนาคต ดังนั้น เมื่อมีคนเกษียณ เราจึงมีคนสืบทอดตำแหน่งต่อได้เลย

“และ นกตัวที่ 4  คือ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร (Employer Branding) โครงการนี้ทำให้เราได้รับ 2 รางวัลใหญ่ คือ Employee Experience Awards 2024 Thailand (EXA Awards) รางวัลที่มีหลายองค์กรในประเทศไทยเข้าร่วมประกวด ซึ่งบริษัท ลิกซิล ประเทศไทย เพิ่งเข้าร่วมเป็นปีแรก และคว้ารางวัลที่ 1 (Gold) เป็น The Best Succession Planning Strategy ยิ่งทำให้เราภูมิใจมาก กับอีกหนึ่งรางวัลคือ The Winner ด้าน Talent Development Program 2024 จาก Country Leadership Award FYE2024 ซึ่งไม่ใช่รางวัลที่จะได้มาง่าย ๆ และถือเป็นรางวัลสูงสุดของโครงการที่สามารถพัฒนาและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับองค์กรในระยะยาวได้ และยังต่อยอดในเชิงธุรกิจได้อีกด้วย” ดร.ธภัทรเล่าถึงผลงานด้านการวางกลยุทธ์ด้วยความภาคภูมิใจ ผ่าน 2 รางวัลที่ได้รับ

นอกจากการทำงาน HR ดร.ธภัทรเล่าเสริมว่า ได้ทำงานด้านการบริการสังคมและแบ่งปันความรู้ในสายงานให้แก่ผู้อื่นเรื่อยมา โดยเป็นวิทยากร อาจารย์พิเศษและที่ปรึกษาให้กับวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มานานกว่า 15 ปี

บริหารคนด้วยปรัชญาการทำงานของ LIXIL

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและด้วยความท้าทายด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร มีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ แม้บางองค์กรจะมองว่า งานบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นหน่วยงานสนับสนุนการทำงานของบุคลากรภายใน แต่ ดร.ธภัทรเผยมุมมองที่กว้างและลึกกว่านั้นว่า งานบริหารทรัพยากรบุคคลมีความสำคัญในการขับเคลื่อนผู้คนให้ทำงานอย่างสร้างสรรค์ เติบโต และเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนคนเพื่อไปขับเคลื่อนองค์กรให้มีความแตกต่าง และสามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น

ดร.ธภัทรจึงจัดวางระบบอย่างมีเอกลักษณ์ ใส่ใจตั้งแต่การคัดคนจาก ‘ทัศนคติ’ มากกว่า ‘ความสามารถ’ เพราะเชื่อว่าทัศนคตินั้นปรับยาก แต่ความสามารถนั้นฝึกฝนกันได้ สร้างแผนพัฒนาทักษะและความรู้ ความสามารถของบุคลากรที่ทันสมัย อัปเดตอยู่เสมอ เพื่อสนองความต้องการของบุคลากรและองค์กรได้อย่างกลมกลืน สอดคล้องไปกับหลักการทำงานขององค์กร ลิกซิล ประเทศไทย

ดร.ธภัทรอธิบายว่า พนักงานของบริษัท ลิกซิล ทั่วโลก ทำงานบนหลักการ 3 ข้อ

  • ข้อแรก Do the right thing คือ ทำสิ่งที่ถูกต้อง
  • ข้อสอง Work with Respect ทำงานด้วยความเคารพผู้อื่น เคารพซึ่งกันและกัน และให้ความร่วมมือในการทำงาน
  • ข้อสาม Experiment & Learn กล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ และพร้อมที่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ทั้ง 3 ข้อเป็นปรัชญาการทำงานที่พนักงานของบริษัท ลิกซิล ยึดเป็นแนวปฏิบัติทั่วโลก และเป็นพื้นฐานของการวางกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรที่ ดร.ธภัทรนำมาผสานรวมกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ ลิกซิล ประเทศไทย ได้อย่างลงตัว กล่าวคือ

  • บริษัทให้อิสระในการทำงาน พนักงานสามารถคิดและเสนอแนะวิธีการต่าง ๆ ในการทำงานหรือ ขอทำงานจากที่บ้านได้ (Hybrid Workplace) เพราะบริษัทเข้าใจในความหลากหลาย และแตกต่างของพนักงาน รวมถึงข้อจำกัดของแต่ละคน โดยจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมืออาชีพ ในออฟฟิศ บริษัทก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์รองรับการทำงานกับพนักงานให้ทั้งหมด
  • บนพื้นฐานการทำงานด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน จึงลดความขัดแย้งได้ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ในเจเนอเรชันไหน และยังเปิดให้มีการพูดคุยแบบ 1-on-1 เพื่อรับฟังและสร้างความเข้าใจเพื่อการทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น
  • พนักงานสามารถทดลองทำสิ่งใหม่และผิดพลาดได้ (Failure) เราเชื่อว่าการทำงานบางครั้งก็สามารถเกิดความผิดพลาดได้ เราเข้าใจเพราะเราเชื่อว่าจะทำให้พนักงานได้เรียนรู้ ได้คิดอย่างสร้างสรรค์ และกล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งสามารถต่อยอดทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเพิ่มมูลค่าจากไอเดียใหม่ ๆ ได้
  • ส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ มี Career Path ให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นแบบ On-site, Online, Meeting การให้พบปะพูดคุยกับคนเก่ง ๆ เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีประสบการณ์ในสายอาชีพ เพราะสามารถช่วยให้คนทำงานเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่ ส่งผลให้พนักงานอยากอยู่กับองค์กรไปนาน ๆ ลดอัตราการลาออก รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้พนักงานรุ่นถัดไปขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นแบบไม่ขาดช่วง
  • ให้พนักงานได้เรียนรู้และทดลองทำหลาย ๆ อย่าง (Multitasking) เพื่อพัฒนาทักษะให้พนักงานได้มีทักษะที่หลากหลายและเพิ่มความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการทำงาน ในกรณี หากพนักงานคนใดคนหนึ่งลาหรือเลือนขั้นเมื่อโอกาสมาถึง ในระยะสั้นองค์กรยังสามารถ ประครองให้การทำงานเกิดความต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก เพราะพนักงานสามารถเข้าไปเสริมหรือทำแทนกันได้ ตรงนี้จะลดภาวะการหมดไฟ (Burn Out) ของพนักงาน และอยากลาออกในท้ายที่สุด เพราะเรามุ่งให้เกิดการสร้างเสริมทักษะและความคล่องตัวในการทำงานให้กับพนักงานมากกว่าการลดค่าใช้จ่าย

3 ทักษะแห่งอนาคตที่คนทำงานรุ่นใหม่ต้องมี

ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนและเทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และการดำเนินชีวิต คนทำงานต้องพร้อมปรับตัวเพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ ต้องมีความสามารถในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานได้ ร่วมกับการมี Soft Skills

“คนคนหนึ่งที่จะเก่งและเติบโตไปกับองค์กรได้ต้องมีความรู้รอบด้านนะครับในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เก่งเฉพาะสายงาน แต่ต้องมีทักษะด้าน Soft Skills ด้วย คือสื่อสารเป็น มีบุคลิกภาพและการวางตัวที่เหมาะสม ตัดสินใจเป็น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ และเขาต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เรื่องเหล่านี้สําคัญและส่งผลต่อความสําเร็จของพนักงานเลยนะครับ” ดร.ธภัทรกล่าวถึงทักษะที่ไม่ว่าจะทำงานในสายใดก็ควรมี

ในฐานะที่ทำงานด้าน HR เห็นเทรนด์ เห็นความเปลี่ยนแปลงสารพัดด้านมาตลอด ดร.ธภัทรปิดท้ายด้วยการให้คำแนะนำแก่ Young Talent & Young Professional ว่า มี 3 ทักษะพื้นฐานที่สำคัญต่ออนาคตและมีผลต่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้แก่

  • รู้จักใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็น (Digital Intelligence) เช่น สามารถใช้ digital เพื่อมาต่อยอดในสายงานอาชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แม่นยำหรือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้
  • ต้องรู้จักสร้างเครือข่ายในสายอาชีพ ( Professional Networking) ในปัจจุบันความสำเร็จไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคน คนเดียว การสร้างเครือข่ายในสายอาชีพและธุรกิจที่แข็งแกร่งจึงจำเป็นอย่างมาก เพราะการมีเครือข่ายในสายอาชีพที่แข็งแกร่งที่ส่งเสริมและช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ จะทำให้เราประสบความสำเร็จในสายอาชีพหรือธุรกิจได้เร็วขึ้น
  • ต้องเปิดรับเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Lifelong Learning) การเรียนรู้ตลอดชีวิตและตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญเพราะปัจจุบันนี้บริบทของโลกในธุรกิจเปลี่ยนไปเร็วมาก ความรู้ก็เช่นกัน ความรู้ที่เรารู้ในวันนี้ อีกสามเดือน หรือ หนึ่งปี ความรู้นั้นอาจใช้ไม่ได้ไม่ทันสมัยแล้วก็ได้ ดังนั้นการเรียนรู้ตลอดเวลา จะทำให้เราสามารถพัฒนาและตามคนอื่นและคู่แข่งได้ทัน

“มนุษย์เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ การพัฒนาคน การลงทุนกับคน มันคือการทําให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน ที่บอกนี่ไม่ใช่เพราะผมทํางาน HR แต่เพราะคนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในธุรกิจจริง ๆ แม้ยุคนี้ใคร ๆ จะพูดถึงการนำ AI เข้ามาทดแทน แต่ความสำเร็จของการทำงานในยุคดิจิทัลไม่ได้มาจากการทำงานหรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่จะมาจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อต่อยอดทางธุรกิจให้ได้ สร้างเครือข่ายในสายอาชีพให้แข็งแกร่ง และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะและถึงแม้ว่าจะนำ AI เข้ามาใช้ในองค์กร แต่องค์กรก็ยังต้องมีคนคอยควบคุมอยู่ดี จริงไหม?” ดร.ธภัทร สรุปทิ้งท้าย


เรื่อง / ภาพ โดย: กองบรรณาธิการ

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เอาใจคนรักกาแฟ จัดกิจกรรมเวิร์คช้อปเพื่อลูกค้าคนพิเศษ “Krungthai-AXA Customer Activity: Barista Workshop” โดยได้รับเกียรติจาก คุณนิสิต สีหะวงษ์ Head of Customer Relations & Event Management (แถวหลัง คนกลาง) กล่าวเปิดงาน และต้อนรับลูกค้า ในกิจกรรมดังกล่าวที่จัดขึ้นใน 2 จังหวัด ได้แก่ “Basic Drip Coffee” เอ็นจอยการดริปกาแฟ สวมบทบาทบาริสต้าในสไตล์คุณ  ณ ร้าน School Coffee จ. เชียงใหม่ และ “Coffee Cupping Charm of Chiang Rai Origins” ค้นหาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของกาแฟแต่ละชนิด ณ ร้าน Concept Yard จ. เชียงราย โดยทั้งสองกิจกรรมได้สร้างความสนุกสนานผ่านการเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับโลกของกาแฟแบบเข้าใจง่าย พร้อมส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้าคนสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมลูกค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://ktaxa.live/customer-activity-pr หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรม การบริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

Page 6 of 614
X

Right Click

No right click