ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า “นวัตกรรม” หรือที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้คำนิยามไว้ว่า สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมนั้น นับเป็นฟันเฟืองที่สำคัญมากในการผลักดันให้ธุรกิจต่าง ๆ ก้าวไปข้างหน้า เนื่องจากวิถีชีวิต พฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้คนเราจำเป็นต้องนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหา พัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น รวมถึงสร้างความพึงพอใจให้มากขึ้นด้วย อุตสาหกรรมบริการก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร หรือธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ล้วนต้องพึ่งพานวัตกรรมในการดำเนินงานทั้งในส่วนของหน้าร้านและหลังร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ที่นักท่องเที่ยวไม่ได้มองหาแค่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่ต้องการประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ จากการเดินทางด้วย

หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต วิทยาลัยดุสิตธานี สถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าที่สอนด้านธุรกิจบริการในเครือโรงแรมดุสิตธานี ซึ่งเปิดสอน 3 กลุ่มวิชา หนึ่งในนั้นคือกลุ่มวิชาผู้ประกอบการเชิงนวัตกรรม (Innovative Entrepreneur) จึงได้จัดงานเซ็น MoU ทำความร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า NIA (National Innovation Agency) โดยมี ดร.อรรถเวทย์ พฤกษ์สถาพร รักษาการอธิการบดี วิทยาลัยดุสิตธานี และ คุณปริวรรต วงษ์สำราญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นผู้แทนลงนามจากทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้วิทยาลัยดุสิตธานีเล็งเห็นว่า ผู้เรียนหลักสูตรปริญญาโทกลุ่มวิชาผู้ประกอบการเชิงนวัตกรรมดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการบ่มเพาะทักษะและองค์ความรู้เชิงนวัตกรรมจากหน่วยงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมโดยเฉพาะ ซึ่งคงเป็นที่ใดไม่ได้เลย นอกจาก NIA นั่นเอง เพราะ NIA มีภารกิจในการส่งเสริมการสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติและสร้างโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม รวมถึงยกระดับทักษะและความสามารถทางนวัตกรรมของกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มผู้ประกอบการ บริษัทขนาดกลางและใหญ่

หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต วิทยาลัยดุสิตธานี กลุ่มวิชาผู้ประกอบการเชิงนวัตกรรม ไม่เพียงมุ่งบ่มเพาะให้ผู้เรียนพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และมีทักษะรอบด้านที่จำเป็นต่อการบริหารธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเชี่ยวชาญด้านการสร้างนวัตกรรมให้กับธุรกิจด้วย ทั้งด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบการบริการ หรือแม้แต่การใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนากระบวนการการทำงาน อันจะนำไปสู่การเป็นธุรกิจที่ทันสมัยและประสบความสำเร็จ โดยทาง NIA จะคัดสรรผู้ที่มีประสบการณ์จริงจากภาคอุตสาหกรรมมาเป็นอาจารย์ผู้สอน แลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ต่างๆ ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมอันหลากหลายของ NIA ซึ่งนับเป็นเอกสิทธิ์สำหรับผู้เรียนในกลุ่มวิชานี้เท่านั้น

“การทำธุรกิจทั่วไปอาจประสบความสำเร็จได้ก็จริง แต่ถ้าทำธุรกิจนวัตกรรม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโต” คุณเต๊ะ-ปริวรรต วงษ์สำราญ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้สอน กล่าวขณะร่วมการเสวนาหัวข้อ “สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ด้วยแนวคิดนวัตกรรม” ในพิธีลงนามความร่วมมือที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ “ยกตัวอย่างเช่นเทสล่า แต่ก่อนสู่อีกหลาย ๆ บริษัทระดับโลกไม่ได้ แต่เมื่อมีการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ ก็ทำให้เติบโตได้สูงจนเป็นผู้นำระดับต้น ๆ ของโลก ทั้งนี้นักศึกษาทั้งที่ยังเรียนอยู่หรือสำเร็จการศึกษาไปแล้วสามารถขอทุนสนับสนุนสำหรับผู้ประกอบการจาก NIA ได้ นอกจากนี้ NIA ยังช่วยผลักดันธุรกิจของนักศึกษาออกไปสู่ตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ การเรียนปริญญาโทที่นี่จึงไม่ใช่แค่การเรียนเพียงอย่างเดียว แต่นับเป็นโอกาสอย่างหนึ่งที่นักศึกษาสามารถนำสิ่งสิ่งที่เรียนไปต่อยอด โดยการขอการสนับสนุนจาก NIA ไม่ว่าจะในรูปแบบเงินทุนหรือองค์ความรู้ต่าง ๆ”

นอกจากมีกลุ่มวิชาผู้ประกอบการเชิงนวัตกรรมแล้ว หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต วิทยาลัยดุสิตธานี ยังมีอีก 2 กลุ่มวิชา ได้แก่ กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจการบริการ (Hospitality Business Management) และ กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจอาหาร (Gastronomy Business Management) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวิชาใด ก็ล้วนบ่มเพาะและผลักดันให้ผู้เรียนมีทักษะและความเชี่ยวชาญอย่างเจาะลึกในด้านนั้นๆ ด้วยการผสานองค์ความรู้และประสบการณ์ทั้งจากอาจารย์ผู้สอนของวิทยาลัยและจากการทำความร่วมมือกับหน่วยงานที่เชี่ยวชาญภายนอก เหมือนเช่นที่วิทยาลัยดุสิตธานีทำความร่วมมือกับ NIA ในครั้งนี้

ปลุกกระแส Young GEN ใส่ใจสุขภาพ Select แบบ Zero พร้อมปล่อยแคมเปญ "TIPCO APPLE สูตรหวานน้อย โพสเอวสับอวดหุ่นเลข 7"

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำองค์กรแห่งความยั่งยืน รับรางวัล “องค์กรที่เป็นเลิศและยั่งยืนแห่งเอเชีย”  หรือ Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards (ACES) 2023 ในสาขา Community Initiative ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จาก MORS Group องค์กรชั้นนำด้านการส่งเสริมความยั่งยืนแห่งเอเชีย  ซึ่งมอบให้ในฐานะเป็นองค์กรที่ส่งเสริมการให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงินเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพให้กับสังคมไทย

กรุงเทพประกันชีวิตมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพให้กับประชาชนตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขององค์กร โดยได้พัฒนาเนื้อหาชุดความรู้ด้านการประกันชีวิต สุขภาพ และการวางแผนการเงินผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านการดูแลสุขภาพและการวางแผนการเงินให้แก่สังคมไทย และล่าสุด ยังได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment หรือ THSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้กลุ่มธุรกิจการเงิน ตอกย้ำความมุ่งมั่นและความสำเร็จในการดูแลผู้มีส่วนได้เสีย รับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสในการแข่งขันผ่านนวัตกรรมทางธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล สู่การขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UNSDGs)

สำหรับรางวัล ACES Awards ซึ่งจัดโดย MORS Group เป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กรธุรกิจและบุคคลในเอเชียที่ประสบความสำเร็จใน 2 สาขาหลัก คือ ความเป็นผู้นำ และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อเป็นเกียรติแก่องค์กรทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ที่มีความโดดเด่นในด้านการให้บริการหรือดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมโลก

บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQMalpha ได้รับรางวัลในงาน 'Thailand's Top Corporate Brands 2023' มูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในไทย หมวดธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต ด้วยมูลค่าแบรนด์ 28,288 ล้านบาท ในงาน ASEAN and Thailand 's Top Corporate brand ครั้งที่ 14 TQMalpha ได้รับรางวัลต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน งานในครั้งนี้จัดโดยหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการ TQMalpha เข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2567 ณ หอประชุม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พร้อมอบอุ่นหัวใจไปกับ Exhibition โดยศิลปินชื่อดัง เตยยี่ และรับของที่ระลึกสุดพิเศษ! ในงาน Bangkok Design Week 2024  27 ม.ค. – 4 ก.พ.นี้

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ได้ลงนามสัญญาเงินกู้ มูลค่า 2.4 พันล้านบาท กับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ซึ่งรวมถึงเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน จำนวน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐ จากกองทุนเพื่อเทคโนโลยีสะอาด (ADB-Administered Clean Technology) เพื่อเป็นทุนสนับสนุนธุรกิจบริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า 6 ที่นั่ง จำนวน 1,500 คัน และการสนับสนุนธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถานีชาร์จแบตเตอรี่สำหรับการคมนาคมขนส่งขนาดเล็กในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงการขยายฐานการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาด 1.3 กิกะวัตต์ชั่วโมง ในมณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเงินทุนนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานของบ้านปู และสนับสนุนการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจพลังงานที่สะอาดและฉลาดขึ้น (Greener & Smarter)

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูอยู่ในช่วงของการขยายพอร์ตฟอลิโอธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นรวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ผ่านบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด เพื่อรองรับเทรนด์พลังงานโลก เราขอขอบคุณ ADB ที่สนับสนุนความมุ่งมั่นของเรา ทั้งสององค์กรมีปณิธานตรงกันในการสร้างพลังงานที่ยั่งยืน ความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ความพยายามของเราสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น และมีส่วนช่วยขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนไปพร้อมกัน”

“ADB ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานที่มีเสถียรภาพ ราคาสมเหตุสมผล และมีปริมาณคาร์บอนต่ำ ทั่วทั้งเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งตรงกับกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบ้านปู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจอีโมบิลิตี้ และธุรกิจแบตเตอรี่ เราหวังว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคการขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะเป็นปัจจัยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่นำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” นางซูซานน์ กาบูรี่ ผู้อำนวยการ สำนักปฏิบัติการภาคเอกชน ธนาคารพัฒนาเอเชีย กล่าว

 

ปัจจุบัน ธุรกิจอีโมบิลิตี้ ของบ้านปู เน็กซ์ ให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าผ่านมูฟมี (MuvMi) ในลักษณะ Ride Sharing ครอบคลุม 12 พื้นที่ในเขตใจกลางกรุงเทพฯ และมีจุดให้บริการกว่า 3,000 จุด สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน บริษัทฯ มีธุรกิจที่ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงบริการโซลูชันด้านแบตเตอรี่ที่เต็มศักยภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิต จัดจำหน่ายแบตเตอรี่ การนำแบตเตอรี่มาใช้ซ้ำและการรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ใช้กับยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่สำรองไฟ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

เมื่อเร็วๆ นี้ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานพิธีเปิดสถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 45 อย่างเป็นทางการ โดยมี นายคมสัน ญาณวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวต้อนรับ นายอนันต์ ดนตรี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยนายประสงค์ พันธ์ลิมา ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ อาคารสถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 45 โครงการบ้านเอื้ออาทรตลาดไท (เทพกุญชร 34) ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

นายชาติชาย กล่าวว่า สถานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทำหน้าที่เป็นกลไกในการจัดสวัสดิการสังคม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อรับจำนำในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ให้โรงรับจำนำเอกชนเรียกค่าบริการสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยการให้บริการของ สธค. ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขจัดความเดือดร้อนในด้านการเงินของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินเฉพาะหน้า

นายชาติชาย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน สธค. ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 69  ด้วยวิสัยทัศน์ "เป็นโรงรับจำนำเพื่อสังคม บริการด้วยนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยยึดหลักธรรมาภิบาล” ปัจจุบันมีทั้งหมด 45 แห่ง แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพมหานคร จำนวน 29 แห่ง และปริมณฑล จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ  ส่วนภูมิภาค จำนวน 11 แห่ง  ได้แก่ จังหวัดระยอง 2 แห่ง ลำพูน 1 แห่ง  สุราษฎร์ธานี 1 แห่ง อุดรธานี 1 แห่ง พิษณุโลก 1 แห่ง พระนครศรีอยุธยา 1 แห่ง ชลบุรี 1 แห่ง สุพรรณบุรี 1 แห่ง ราชบุรี 1 แห่ง และที่เพิ่งเปิดใหม่วันนี้อีก 1 แห่ง คือที่จังหวัดปทุมธานีแห่งนี้ นอกจากนี้ สธค. ยังได้จัดทำแผนขยายสาขาการให้บริการในพื้นที่ส่วนภูมิภาคให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในปี 2567 อีกจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 46 (ลาดกระบัง) และ สถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 47 (บางขุนเทียน)

นายชาติชาย กล่าวต่ออีกว่า สำหรับวันนี้ ได้ทำการเปิดสาขาจังหวัดปทุมธานีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสาขาที่ 45 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าทางการเงิน โดยสามารถนำสิ่งของมาจำนำ และเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้รับการบริการทางสังคมที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ ทั้งนี้ สธค. มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ 1) เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อเดือน  2) เงินต้น 5,001 - 10,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ต่อเดือน  3) เงินต้น 10,001 - 20,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.00 ต่อเดือน 4) เงินต้น 20,001 - 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ซึ่ง สธค. ได้คิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในธุรกิจโรงรับจำนำ เพียงร้อยละ 0.25 ต่อเดือน (วงเงินไม่เกิน 5,000 บาท) อีกทั้ง ยังมีนโยบายอัตราการรับจำนำทรัพย์ประเภททอง นาก เงิน และรูปพรรณ โดยรับจำนำไม่เกินร้อยละ 87.5 ของราคาทองรูปพรรณในท้องตลาด ซึ่งให้ราคารับจำนำที่สูงขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม - 29 กุมภาพันธ์ 2567 ทาง สธค. จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยการไม่คิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 เดือน เมื่อจำนำไม่เกิน 5,000 บาท นับว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินเฉพาะหน้า รวมทั้งมีการปรับภาพลักษณ์เปลี่ยนโฉมการบริการใหม่ ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน

เปิดเส้นทางสู่ขุมทรัพย์ความสำเร็จ พิชิตยอดขายด้วยโซลูชั่นจาก LINE

อลิอันซ์ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ครองตำแหน่งแบรนด์ประกัน และบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุด และมีสถานะแข็งแกร่งที่สุดอันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับ Global 500 ของ Brand Finance ในขณะที่ยังคงเป็น แบรนด์อันดับที่ 28 ของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก เติบโตขึ้นถึง 15% นอกจากนั้น บริษัทฯยังได้รับการยกย่อง ในเรื่องการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และศักยภาพที่รวมธุรกิจทั้งลูกค้าขนาดกลาง และองค์กรขนาดใหญ่ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอลิอันซ์ ภายใต้ชื่อ Allianz Commercial ในปี 2023 ที่ผ่านมา เป็นสิ่งยืนยันถึงสถานะของแบรนด์ AA+ ที่แข็งแกร่งมาก อีกทั้ง อลิอันซ์ยังมุ่งเน้นเรื่องการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ผ่านการสนับสนุนด้านกีฬาและวัฒนธรรม โดยในปี 2024 นี้ กลุ่มอลิอันซ์เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการการโอลิมปิกและพาราลิมปิก เกมส์กีฬาอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนรอคอย ที่จะจัดขึ้นที่กรุงปารีสเร็วๆนี้

หากมีความจำเป็นที่จะต้องยก “ความเป็นเจ้าของ” ให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือทายาทเท่านั้น แต่ต้องแยกส่วนของการบริหารจัดการให้กับทีมบริหารมืออาชีพ เพื่อดูแลองค์กรธุรกิจครอบครัว เรื่องนี้อาจยากทำใจ หรืออาจต้องมาประเมินว่า “จะได้หรือเสีย” มากกว่ากัน

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ก่อตั้ง FAMZ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้ให้ความเห็นกับการเปิดทางให้ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารองค์กรของธุรกิจครอบครัวว่า

“การที่ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารธุรกิจกลับจะยิ่งช่วยให้ธุรกิจครอบครัวมีความสามารถทางการแข่งขัน และมีศักยภาพได้ดี มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงจากผลการศึกษากรณีดังกล่าวจากทั่วโลกก็บ่งชี้ในทิศทางเดียวกันว่า ธุรกิจครอบครัวอาจมีผลประกอบการต่ำ หรือขาดความทะเยอทะยานได้ ทว่า หากบริหารโดยสมาชิกในครอบครัคนที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวจะสามารถผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วกว่า รวมถึงการสร้างนวัตกรรม การขยายตัวไปต่างประเทศ การกระจายธุรกิจก็จะทำได้ดีกว่า เนื่องจากมืออาชีพจะให้ความสำคัญกับความสามารถทางการแข่งขัน และการทำธุรกิจเป็นภารกิจอันดับต้นๆ ต่างจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งมักจะมุ่งโฟกัสที่ครอบครัว ชุมชนและการสร้างตำนานของธุรกิจครอบครัวกับโลกมากกว่า”

การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักคือต้องทำให้เป็นมืออาชีพทั้งธุรกิจและครอบครัวด้วยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ถ้าต้องการให้ธุรกิจมีความเป็นมืออาชีพจริงๆ ก็ควรต้องมีมืออาชีพมากๆ  ที่สำคัญ หากมองในระยะยาว การที่ธุรกิจครอบครัวดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามา ตลอดจนการให้ขอบเขตและให้เวลาในการพิสูจน์ตนเองของผู้บริหาร โดยเฉพาะช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งซีอีโอนั้นจะต้องใช้เวลาหลายปี อย่างกรณีอ้างอิงจาก Fortune 500 ก็ใช้เวลาประมาณ 5 ปี ขณะที่ Harvard Business Review ระบุว่า ช่วงระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมของซีอีโอคือ 4.8 ปี หลังจากนั้น การทำงานจะเริ่มมีบางอย่างลดลง ซึ่งธุรกิจครอบครัวจะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ดี อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังสำหรับมืออาชีพที่ได้รับการสรรหาเข้ามาก็คือ จะต้องแสดงบทบาทของตนเองอย่างระมัดระวังในธุรกิจครอบครัว เนื่องจากอาจจะต้องเผชิญกับประเด็นความซับซ้อน หรืออ่อนไหวที่อาจต้องขับเคี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ทั้งที่อยู่ในและนอกบอร์ดบริหาร”

อย่างไรก็ตาม การที่มีมืออาชีพเข้ามาในธุรกิจเพิ่มขึ้น เจ้าของธุรกิจครอบครัวก็ยังสามารถกำกับ หรือดูแลธุรกิจในภาพรวมได้ นอกจากนี้  ยังมีผลงานวิจัยสนับสนุนอีกด้วยว่า ถ้าเจ้าของธุรกิจเข้ามาเป็นคณะกรรมการ เข้ามาร่วมตัดสินใจ ร่วมรับความเสี่ยง/รับภาระ ฯลฯ บริษัทก็จะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าการปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามามีส่วนตัดสินใจและบริหาร เนื่องจากมืออาชีพนั้นไม่ได้อยู่กับธุรกิจถาวรเหมือนเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น หนึ่งในคำมั่นสัญญาที่สำคัญ คือ การที่เจ้าของธุรกิจเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหา และกำหนดทิศทางของธุรกิจ”

ทั้งนี้ ความเป็นธุรกิจครอบครัวก่อนจะตัดสินใจเรื่องสำคัญทางธุรกิจ ครอบครัวมักจะหารือกันก่อนในที่ประชุมครอบครัว เช่น สภาครอบครัวหรือสภาธุรกิจ แล้วจึงจะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งปกติเสียงของครอบครัวมักจะดังเสมอในทุกๆ ประชุมของบริษัท

รศ.ดร.เอกชัยกล่าวในตอนท้ายว่า ในฐานะที่ FAMZ เป็นบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ผมมองว่า การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนัก คือ ต้องทำให้ธุรกิจครอบครัวเป็นมืออาชีพทั้งในส่วนของ “ธุรกิจ” และ “ครอบครัว” ด้วย”

ข้อมูลเพิ่มเติม www.famz.co.th 

X

Right Click

No right click