กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึก ซีพี ออลล์ ผ่านเซเว่นฯ สนับสนุน SMEs ไทยให้เติบโต พร้อมเปิดโอกาสทางการตลาดส่งสินค้า SMEs สู่มือผู้บริโภค พร้อมยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ผ่านโครงการและกิจกรรมเด่น  ตั้งเป้ายกระดับสินค้า นวัตกรรม สู่มาตรฐานสากล

นายณัฐพล รังสิต ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการและการจัดกิจกรรมการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ (Kick-off) ร่วมกับ นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ โดยระบุว่า การลงนาม MOU ในวันนี้ (5 เม.ย.67) ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสนับสนุน SMEs เพื่อเริ่มต้นทำกิจกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการร่วมกัน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ในประเทศไทยมีส่วนสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจของไทยอย่างยิ่ง ทั้งก่อให้เกิดการจ้างงาน แหล่งอาชีพ แหล่งสร้างรายได้ให้กับประชาชนในทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์ของ SMEs สร้างงาน อาชีพ กระจายรายได้ และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริม SMEs ของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน โดยกระทรวงฯดำเนินการสนับสนุนผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ โดยหวังว่าจะช่วยสร้างโอกาสให้กับ SMEs ให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ มาตรฐานเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และเมื่อผู้ประกอบการผลิตสินค้าแล้วจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับผู้ซื้อ ซึ่งเซเว่น อีเลฟเว่นเป็นร้านสะดวกซื้อที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีมีสาขามากกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงคนไทยทุกกลุ่ม จึงมั่นใจว่าการลงนาม MOU ครั้งนี้ จะเป็นโอกาสของสินค้าจากผู้ประกอบการ SMEs ในการเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

“กระทรวงอุตสาหกรรม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล มีนโยบายมุ่งมั่นส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ใน 4 มิติ ก็คือ รายได้ การอยู่ร่วมกันกับชุมชน การลงตัวสอดคล้องกับกติกาสากล และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งหนึ่งในวัตถุประสงค์ของนโยบายดังกล่าวเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นที่รักของชุมชน ด้วยการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการรายย่อยให้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยความร่วมมือครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันระหว่างองค์กรขนาดใหญ่และผู้ประกอบการรายย่อย SMEs รวมถึงผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งช่วยผลักดันให้สินค้า หรือผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรมมีโอกาสร่วมกับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ของประเทศส่งผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง สร้างรายได้ สร้างโอกาส ให้แก่ผู้ประกอบการได้เติบโตและดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะการแข่งขันของตลาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น พร้อมทั้งขยายไปยังหน่วยอื่น ๆ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตควบคู่กับการกินดีอยู่ดีของผู้ประกอบการรายย่อยและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยในรอบนี้มีผู้ประกอบการที่ผ่านโครงการของ อก. ที่ได้รับโอกาสในการเชื่อมโยงกับเซเว่น อีเลฟเว่น กว่า 50 ราย คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปี” นายณัฐพล กล่าว

ด้าน นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริม SMEs มาโดยตลอด ตามนโยบาย SMEs โตไกลไปด้วยกัน” ผ่านกลยุทธ์ 3 ให้ ประกอบด้วย 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย จึงได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ SMEs มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้ร่วมลงนามความร่วมมือครั้งสำคัญกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการ พร้อมสร้างโอกาสการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับ SMEs ในอนาคต

“การลงนามความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นภาคเอกชนกับ กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะภาครัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเดินหน้าสนับสนุน ส่งเสริม SME อย่างจริงจังในทุกรูปแบบและทุกช่องทาง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การเติบโตของทั้ง 2 หน่วยงานคือ ต้องการสร้างการเติบโตแบบองค์รวมทั้งในภาคของเกษตรกรและผู้ประกอบการ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับ SMEs และระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศในอนาคตให้พร้อมแข่งขันในระดับสากล” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

สำหรับบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน พัฒนา เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชนและเกษตรกร เพื่อยกระดับสินค้าและบริการให้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานในการปฏิบัติทางการค้าที่ดี (Code of Conduct) นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายและพันธกิจในการสร้างอุตสาหกรรมที่อยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมของทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างดี เพิ่มศักยภาพและพัฒนาบุคลากรผ่านการดำเนินโครงการ หรือ กิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดสัมมนา การฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ เสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการประกอบธุรกิจ ตลอดจนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ในการยกระดับสถานประกอบการและประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และร่วมมือกันดำเนินงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ประกอบการ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา (Feedback) ให้ความรู้เชิงวิชาการ เพื่อพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง และสร้างโอกาสทางการตลาดการประชาสัมพันธ์ผ่านการจัดกิจกรรมการทดสอบตลาด ตลอดจนกิจกรรมสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้แก่บุคคลทั่วไปในชุมชนและสังคม

เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ จัดงาน “A Conversation with CEO” โดยนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ที่สูงเป็นอันดับ 1 ในทุกมาตรวัด(1)และมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ที่เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 21 ทำลายสถิติผลการดำเนินงานที่ผ่านมากว่า 8 ทศวรรษ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงและความแข็งแกร่งของเอไอเอ ประเทศไทย นอกจากนี้ นายนิคฮิลยังได้บอกเล่าทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของเอไอเอ ประเทศไทย ในปี 2567 เพื่อเป้าหมายในการยกระดับการดูแลคนไทยให้ครอบคลุมครบทุกมิติ ทั้งมิติด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงสุขภาพการเงิน สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’

นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21 เป็น 24,857 ล้านบาท จากความสามารถของพลังตัวแทนและช่องทางพันธมิตร นอกจากนี้ เรายังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด (Market Share)(1) ที่สูงที่สุดในทุกมิติ ได้แก่

  • ร้อยละ 24 เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่(2)(ANP)
  • ร้อยละ 50 ยอดขายสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ
  • ร้อยละ 57 ยอดขายสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง
  • ร้อยละ 59 ยอดขายประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์)
  • ร้อยละ 22 ยอดขายประกันกลุ่ม

“ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้เอไอเอ ประเทศไทย เติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2566 มาจากการที่เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพซึ่งทำให้เอไอเอแตกต่างจากคู่แข่ง ตลอดจนรูปแบบการทำงานที่เน้น Agility เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่องทางการขายที่แข็งแกร่งทั้งช่องทางพลังตัวแทนและช่องทางพันธมิตร โดยเอไอเอเป็นอันดับ 1 ในตลาด(1) ทั้งในแง่จำนวนตัวแทนที่มีมากกว่า 50,000 คนทั่วประเทศ รวมถึงจำนวนตัวแทนที่ได้รับคุณวุฒิ MDRT มากที่สุดนับตั้งแต่เอไอเอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของพลังตัวแทนเอไอเอ และความสำเร็จของการสร้าง AIA Financial Advisor (AIA FA) ที่เพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 28 สำหรับช่องทางพันธมิตร เอไอเอ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ในการสร้างสรรค์และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น นอกเหนือจากนั้น เอไอเอ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อส่งมอบการบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในขั้นตอนการพิจารณากรมธรรม์แบบอัตโนมัติ (STP) ในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 87 เพิ่มศักยภาพในการอนุมัติกรมธรรม์ประกันชีวิตรายเดี่ยวได้มากถึง 1,500 กรมธรรม์ต่อวัน และพิจารณาเคลมได้สูงสุดถึง 9,000 เคสต่อวัน การลงทุนอย่างจริงจังในการพัฒนาบริการดิจิทัลและแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและตัวแทนผ่านแอป AIA+ และ AIA ONE เป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้เราก้าวทันยุคดิจิทัลและสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแบบไร้รอยต่อได้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายคือการดำเนินธุรกิจอย่างมีวินัยเพื่อมุ่งนำเสนอความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพระยะยาวที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมทั้งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

กลยุทธ์ ABCDEF เป็นกลยุทธ์ที่เอไอเอมุ่งเน้นเพื่อยกระดับการดูแลและการบริการลูกค้า พร้อมกับการรักษาอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย

  • A – Agency Transformation การพัฒนาช่องทางตัวแทนประกันชีวิตให้ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผลักดันการทำงานและการให้บริการลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า พร้อมยกระดับการสรรหาตัวแทนที่มีคุณภาพ และมุ่งพัฒนาตัวแทนใหม่อย่างต่อเนื่อง
  • B – Business Partner Acceleration การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของช่องทางพันธมิตร โดยเอไอเอมุ่งเสริมความแกร่งของช่องทางขายผ่านพันธมิตรที่มีอยู่เดิม พร้อมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า
  • C – Customer Centricity การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเปลี่ยนบทบาทจากเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม (Payor) เป็นพาร์ตเนอร์ (Partner) ที่พร้อมดูแลลูกค้าในทุก ๆ วัน
  • DDigitalisation Journey การวางเส้นทางไปสู่ยุคดิจิทัลเพื่อตอกย้ำการเป็น Digital Insurer แห่งแรกของประเทศไทย โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัลเพื่อเสริมการบริการให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นผ่าน All-in-one Application สำหรับลูกค้าและตัวแทน
  • E – Employee Wellbeing ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน โดยเอไอเอให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมในที่ทำงาน และเปิดโอกาสให้พนักงานได้เสนอความคิดเห็น เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
  • F – Future Healthcare การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพและยั่งยืนเพื่อคนไทย ด้วยการนำเสนอโซลูชันด้านการดูแลและรักษาสุขภาพที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมส่งเสริมให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน ตลอดจนได้รับความคุ้มครองด้านสุขภาพที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล

“เอไอเอ มุ่งมั่นเดินตามพันธกิจที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจากการที่ปัจจุบันเรามองเห็นแนวโน้มที่คนจะมีอายุขัยยืนยาวขึ้นเรื่อย ๆ และมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 100 ปี เนื่องด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ แต่ในขณะที่อายุสุขภาพกลับไม่ยืนยาวสอดคล้องไปตามอายุขัย ฉะนั้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลาย ๆ คนอาจตกอยู่ในภาวะที่เงินเก็บไม่เพียงพอสำหรับใช้ในการรักษาตัวเองหากเจ็บป่วย ด้วยเหตุนี้ เอไอเอจึงได้พัฒนาโซลูชันด้านสุขภาพให้สามารถดูแลคนไทยได้ครอบคลุมและคุ้มครองยาวนานขึ้นถึงอายุ 99 ปี(3) รวมทั้งได้ออกแคมเปญ Living to 100 ที่เราตั้งใจผลักดันให้คนไทยเตรียมวางแผนสุขภาพและการเงิน เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น

“เอไอเอ ยังคงเดินหน้าดูแลคนไทยในฐานะผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีนวัตกรรมและตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้แก่คนไทยทุกคน” นายนิคฮิล กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา:

(1) ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย ณ เดือนธันวาคม 2566

(2) เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่: เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (FYP) + 10% เบี้ยประกันภัยรับชำระครั้งเดียว (SP)

(3) ความคุ้มครองเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

เลย์ แมกซ์ มันฝรั่งทอดกรอบแผ่นหยักเอ็กซ์ตร้า โดย บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ดึงพันธมิตรด้าน CRM & Digital Engagement Platform อย่าง BUZZEBEES ที่ให้บริการครบวงจร ร่วมพัฒนาแคมเปญการตลาดแห่งปี ‘เปิดแมกซ์ แลกลุ้นแรร์’ เอาใจวัยรุ่นสายเกมด้วยระบบของ BUZZEBEES ผ่านการนำรหัสในซองเลย์แมกซ์ ไปกรอกในระบบเพื่อแลกรับ MAX COIN และใช้ MAX COIN ที่ได้ในการแลกและลุ้นของรางวัลโดนใจวัยรุ่นมากมาย ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ด้าน Marketing Campaign อีกมิติของการให้บริการของ BUZZEBEES ในการออกแบบและสร้างกิจกรรมตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบความท้าทาย และชอบลองสิ่งแปลกใหม่

นางสาวชลกร อภิชาติธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวประจำประเทศไทย และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ภาคพื้นอินโดจีน บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับกลุ่มเป้าหมายหลักของเลย์ แมกซ์ ซึ่งคือกลุ่ม Gen Z จึงจะเห็นได้ว่าในแต่ละปีที่ผ่านมา เลย์ แมกซ์ เน้นการใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านการใช้ผู้นำทางความคิด ศิลปิน นักร้อง และ Influencers ที่มีผู้ชื่นชอบและติดตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ร่วมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ บน Social Media และแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับพันธมิตรทางการค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เลย์ แมกซ์รสชาติใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เลย์ แมกซ์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและมียอดขายเติบโตมากขึ้น

จึงเป็นที่มาของการจับมือกับ BUZZEBEES เพื่อยกระดับการทำ Marketing Campaign กับแคมเปญล่าสุด ‘เปิดแมกซ์ แลกลุ้นแรร์’ ซึ่งเป็นแคมเปญที่เลย์แมกซ์ได้ร่วมมือกับเกม “Nice To Z You ซ่อนหา ปาร์ตี้แก๊ง” โดยได้นำระบบของ BUZZEBEES มาต่อยอดกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้ เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Z เนื่องด้วยเลย์ แมกซ์ เล็งเห็นว่าการมอบประสบการณ์ในมิติใหม่ ๆ ของการซื้อสินค้า อาทิ การสะสมพอยท์ผ่านการเล่นเกมเพื่อพิชิตภารกิจรับสกินดีไซน์สุดพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจากคุณแป้ง zbing z. หรือการแลกไอเทมบูสเตอร์พิเศษต่าง ๆ ในเกม ไปจนถึงการแลกพอยท์เพื่อรับสิทธ์ลุ้นของรางวัล Tech Gadgets ต่าง ๆ ช่วยให้แบรนด์เป็นที่จดจำและขยายกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น จึงได้ร่วมกับพันธมิตรอย่าง BUZZEBEES ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน CRM & Digital Engagement Platform ครบวงจรมากกว่า 10 ปี มาช่วยพัฒนาเสริมแคมเปญนี้ให้มีสีสัน เพิ่มความสนุกสนาน และกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น”

นางสาวณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของ BUZZEBEES ที่บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ให้ความไว้วางใจให้ดูแลพัฒนาในด้าน Marketing Campaign ให้กับเลย์ แมกซ์ นับเป็นอีกมิติของการเสริมความแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่ง BUZZEBEES สามารถนำของรางวัลหรือไอเทมต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในระบบได้ รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าให้ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว โดยจากผลการสำรวจพฤติกรรมของ Gen Y และ Gen Z พบว่าแพลตฟอร์มเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต พวกเขาจะภักดีต่อแบรนด์มากหากเกิดความประทับใจ ซึ่งความประทับใจมักเกิดจากการได้มีส่วนร่วมในแคมเปญต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม และการดึงดูดให้ Gen Z และ Gen Y เข้ามามีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มนั้น ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือเรื่องของของรางวัล ดังนั้นการมีระบบที่สามารถเชื่อมต่อหรือปรับแต่งของรางวัลได้อย่างยืดหยุ่นหลากหลายถือเป็นจุดแข็งสำคัญของ BUZZEBEES”

สำหรับแคมเปญ ‘เปิดแมกซ์ แลกลุ้นแรร์’ ผู้เล่นสามารถแลกลุ้นรับของรางวัลได้ง่าย ๆ เพียงซื้อผลิตภัณฑ์ เลย์ แมกซ์ รสพริกปีศาจ เอ็กซ์ตร้าชิลลี่ หรือรสบาร์บีคิวพริกพ่นไฟ หรือรสเอ็กซ์ตรีมซาวครีมและหัวหอม หรือรสโนริโอเวอร์โหลด เอ็กซ์ตร้าสาหร่ายกรอบ ขนาดใดก็ได้จากร้านค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ แล้วกรอกรหัสด้านในซอง เพื่อแลกเป็น MAX COIN ใช้รับสิทธิ์แลกหรือลุ้นรางวัลถึง 3 ต่อ รวมกว่า 8.2 ล้านรางวัล รวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า 97 ล้านบาท ได้ตั้งแต่วันนี้ วันที่ 1 มีนาคม 2567 – วันที่ 30 มิถุนายน 2567

ต่อที่ 1 สะสมแต้ม MAX COIN ปลดล็อกสกินสุดพิเศษ MAX CHILI FLAME หรือ MAX NORI BUBBLE สกินดีไซน์จากคาแรคเตอร์ zbing z. ไปเล่นซ่อนหา ในเกม Nice To Z You ได้สุดแมกซ์

ต่อที่ 2 ใช้ MAX COIN แลกรับทันทีกับไอเทมบูสเตอร์รูปแบบต่าง ๆ เพื่ออัพเลเวลความสนุกแบบจัดเต็มในเกม Nice To Z You

ต่อที่ 3 ใช้ MAX COIN แลกสิทธิ์ลุ้นรับตุ๊กตา ดีไซน์จากสกินคาแรคเตอร์ zbing z. ลิมิเต็ดอีดิชันสุดแรร์ หรือแลกสิทธิ์ลุ้นของรางวัล Gadget อัพสกิลการเล่นเกมแบบเต็มแมกซ์ทุกเดือน อาทิ iPhone 15, iPad Mini 6 WiFi, และ Nintendo Switch OLED

ทั้งนี้ BUZZEBEES ยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการครอบคลุมใน 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM Loyalty & Marketing Platform) 2. ธุรกิจจัดหาของรางวัลและสิทธิพิเศษ (Rewards & Privileges Management) 3. ธุรกิจบริการอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร (E-Commerce Enabler Service) 4. ธุรกิจบริการระบบจัดการร้านค้าและการรับชำระเงิน (Retail & Restaurant Solutions) และ 5. ธุรกิจบริการด้านการตลาดดิจิทัลและอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer & Digital Marketing) โดยทุกบริการครอบคลุมใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและกัมพูชา โดยดูแลแพลตฟอร์มพันธมิตรกว่า 1,200 แพลตฟอร์ม และมีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มกว่า 160 ล้านบัญชี

มอบรางวัลสุดยอดแบรนด์ และซีอีโอแห่งปี ในไทยและเอเชีย

บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ YDM เผยวิวัฒนาการ AI จุดเปลี่ยนเกมตลาดดิจิทัลประเทศไทยปี 67 คลื่นลูกใหญ่ท้าทายแบรนด์ และนักการตลาด กระทบอุตสาหกรรมทั่วโลกทุกภาคส่วน โดยเฉพาะวงการธุรกิจโฆษณาและการตลาดเผชิญหน้าความท้าทายด่านแรกส่งผลให้ต้องเร่งปรับตัว พลิกจุดแข็ง AI เปลี่ยนเกม สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ดิสรัปกระบวนการธุรกิจ ย่นเวลาทำงานเร็วขึ้นหลายเท่า ติดสปีดนักการตลาดและแบรนด์ แนะ 4 อาวุธสำคัญ หนุนกลยุทธ์ฉบับนักการตลาดยุคปัญญาประดิษฐ์เร่งปรับตัว 1.พัฒนาทักษะ 2.ลงทุนในเทคโนโลยี 3.สร้างกลยุทธ์ชัดเจน และ 4.เน้นจริยธรรม คว้าโอกาสประยุกต์ใช้ AI ที่น่าจับตา ดึง Data อินไซด์วางโรดแมปเชิงกลยุทธ์ ชี้การตลาดแบบ Contextual จับตลาดอย่างถูกที่ ถูกเวลา โชว์เคสถอดคีย์ซัคเซสใช้ AI ติดปีกธุรกิจปั้นยอดขายตามเป้าหมาย

นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า วิวัฒนาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ซึ่งในปัจจุบัน AI เข้ามาดิสรัปและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานองค์กรในหลาย ๆ ด้าน เช่น Task Automation, Process Optimization และ Decision Support เป็นต้น โดย AI จะเข้ามายกระดับกลยุทธ์ทั้ง 3 ด้าน  คือ Economy of Scope: บุคลากรหนึ่งคนทำงานได้หลากหลายขึ้น  Economy of Scale: ผลิตสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และ Economy of Speed: ย่นระยะเวลาการทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดย YDM มองการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือโอกาส การนำศักยภาพของ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยยกระดับการทำ Advertising & Marketing  ช่วยให้นักการตลาดและแบรนด์ทำการตลาดได้แม่นยำ ตรงกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้มีความสามารถด้านการสร้างยอดขายและเพิ่มผลกำไรบนต้นทุนที่ลดลง

นายณัฐพล จิตงามพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่าการมาถึงของ AI ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ต่อวงการ Advertising & Marketing โดยหลาย ๆ เอเจนซี่ได้เริ่มมีการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน  สำหรับที่ YDM เราได้มีการนำ AI และ Data Technology มาใช้แบบ Full Funnel เริ่มต้นจากฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ มีการใช้ Social Listening ผนวกกับ AI ในการวิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจ การหาข้อมูลคู่แข่ง หา Consumer Insight กำหนด Segment หรือ Target Group ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ เป็นต้น ในฝ่ายครีเอทีฟ ใช้ในการ Brainstorm หาไอเดีย ช่วยคิด Copy & Artwork ตลอดจนใช้สร้าง Storyboard งานโฆษณาหรือการรีวิวสินค้าให้น่าสนใจ ฝ่าย Social Media นอกเหนือจากการใช้ AI ช่วยคิด Content และ Artwork แล้ว เรายังใช้วิเคราะห์ Trend ในการสร้าง Content ที่เหมาะกับแต่ละแบรนด์ เพื่อเพิ่ม Engagement ต่อกลุ่มเป้าหมาย สำหรับฝ่าย Media ใช้ช่วยวางแผน ช่วยทำ Research และใช้ AI หาความสัมพันธ์ หรือ Co-relation ระหว่าง Media กับยอดขาย กำหนดและปรับรูปแบบการใช้เงินกับมีเดียให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฝ่าย KOL ใช้ในการช่วยหา KOL/Influencer ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ทำ Prediction ช่วยคำนวณความคุ้มค่าการลงทุน พร้อมช่วยวิเคราะห์ Report หาผลกระทบต่อยอดขาย เป็นต้น

นายธนพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การมาถึงของ AI ทำให้เกิดการทำการตลาดแบบใหม่ คือ Automated Personalized Contextual Marketing หรือก็คือ การทำการตลาดโดยปรับตามบริบทของลูกค้าแต่ละคนแบบอัตโนมัติ เป็นการทำการตลาดที่เป็น Customer Centric อย่างแท้จริง ช่วยนักการตลาดและแบรนด์ให้สามารถวางกลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะบุคคลได้แม่นยำขึ้นแบบเรียลไทม์ เพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นบนงบประมาณที่น้อยลง สู่เป้าหมายที่วัดผลได้ผ่านยอดขายมากกว่าการทำการตลาดแบบเดิม ๆ ที่แบ่ง Brand campaign กับ Performance campaign ออกจากกัน ทั้งนี้ แบรนด์หรือธุรกิจที่สามารถใช้กลยุทธ์การตลาดนี้ได้ จะต้องมีการจัดเก็บและเตรียม Data ของผู้บริโภคอย่างถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ AI สามารถทำงานในการวิเคราะห์อินไซด์ผู้บริโภคโดยมองเห็นบริบทของผู้บริโภคแต่ละคนที่กำลังเผชิญปัญหาหรือมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่การวางแผนการตลาดเชิงรุกในการนำเสนอคอนเทนต์ที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งผู้บริโภคแต่ละคนจะได้รับข้อมูลการสื่อสารจากแบรนด์ตามบริบทที่กำลังเผชิญที่ต่างกัน”

ด้านนายณัฐพล กล่าวว่า “ทาง YDM เองได้มีการนำ Automated Personalized Contextual Marketing มาใช้กับลูกค้าของเรา ยกตัวอย่าง ประกันภัยแบรนด์หนึ่งที่ขายทางออนไลน์ เราใช้ CDP มาเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายอย่างละเอียด เช่น สนใจ Product ตัวไหน Engage กับ Message อะไร มาทำการแบ่งเป็น Segment ย่อย ๆ ตามบริบทของลูกค้าเพื่อทำการสื่อสารแบบอัตโนมัติ right time & right message ผลที่ได้คือ Conversion Rate ในการปิดการขายออนไลน์จากไม่ถึง 1% ขึ้นไปเกือบ 30% นั่นหมายถึงประสิทธิภาพที่มากขึ้นกว่า 30 เท่า ทั้งนี้การทำ Personalization ระดับนี้ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะขนาดของกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงจะมีขนาดที่เล็กลงมาก ๆ จากหลักหมื่น หลักแสน เหลือเพียงแค่ประมาณ 4-5 ร้อยคน รวมถึงยังต้องรอ Signal จาก User ในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หากแบรนด์ไม่ได้มีระบบที่พร้อมจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ มี AI ช่วยให้การ Scale up ปริมาณชิ้นงาน สิ่งเหล่านี้แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย”

แนะ 4 อาวุธสำคัญที่แบรนด์ นักการตลาดต้องมี เพื่อเร่งปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงยุคการตลาดปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 1.การพัฒนาทักษะ สำหรับบุคลากรในสายงาน Digital Marketing จำเป็นต้องพัฒนาทักษะด้าน AI โดยเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือ AI ต่าง ๆ และใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล  2.การลงทุนในเทคโนโลยี แบรนด์ต้องลงทุนในเทคโนโลยี AI เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจ 3.การสร้างกลยุทธ์ แบรนด์ต้องสร้างกลยุทธ์ที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมาย ทิศทาง และวิธีการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ 4.จริยธรรม แบรนด์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมในการใช้ AI ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ

“ทั้งนี้ YDM ชู 3 กลยุทธ์ปี 2567 เดินหน้าบุกตลาด พุ่งเป้าพาแบรนด์สร้างยอดขายสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดผลได้ (THAT SELL Measurable Business Result) ประกอบด้วย 1.Full Funnel Creative มุ่งสร้างคอนเทนต์ และรูปแบบการสื่อสารใหม่ ๆ สอดรับกับเทรนด์และแบรนด์ในทุกช่องทาง ครอบคลุมผู้บริโภคในทุก ๆ Consumer Journey Stage 2.Marketing Technology แนะแบรนด์ให้เลือกใช้เครื่องมือ MarTech ที่ถูกต้อง เหมาะสม ในงบประมาณที่จับต้องได้ และ 3.Unveil Opportunity พาแบรนด์คว้าโอกาสใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจสู่การเติบโตไปอีกระดับ” นายธนพล กล่าวทิ้งท้าย

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คว้ารางวัล Hospital of the Year - Thailand และ ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คว้ารางวัล CEO of the Year ในงาน Healthcare Asia Awards 2024 ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวทีอันทรงเกียรติที่เชิดชูความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมการแพทย์ระดับเอเชีย รางวัลนี้ ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำด้านการบริบาลด้านสุขภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภายใต้การนำของ ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับการรักษาทัดเทียมมาตรฐานสากล  

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า รางวัลนี้เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทในการส่งมอบการบริบาลที่เป็นเลิศของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้แก่ผู้ป่วยของเราทุกคน การยอมรับจากสถาบันชั้นนำที่น่าเชื่อถือระดับนานาประเทศคือประจักษ์พยานที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ไม่เฉพาะแต่ในด้านความเป็นเลิศในการส่งมอบการบริบาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่โดดเด่นและเข้มแข็ง มาตรฐานสูงสุดด้านจริยธรรม หลักธรรมาภิบาล และที่สำคัญคือความไว้วางใจที่ผู้ป่วยมีต่อเราเสมอมา

ทั้งนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาประสบการณ์การรักษาด้วยคุณภาพ ความปลอดภัย การใช้นวัตกรรม และการส่งมอบการบริบาลเชิงบวกด้วยความเอื้ออาทร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในระดับโลกและเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับสาธารณสุขไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นายประสงค์ พูนธเนศ  กรรมการอิสระ ประธานกรรมการ และประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน และนางพิทยา  วรปัญญาสกุล  กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2566 และนำเสนอวาระเพื่อพิจารณาต่างๆ โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1.27 บาท ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 3,274.48 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติกรรมการ 3 ท่านที่ออกจากตำแหน่งตามวาระ กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ได้แก่ นายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ นางประราลี รัตน์ประสาทพร และนายระเฑียร ศรีมงคล  โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นในวันนี้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) ณ ห้องประชุมใหญ่ “เคทีซี” อาคารสมัชชาวาณิช 2 ถนนสุขุมวิท ตามพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 รวมถึงกฎหมายและกฎระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และคำบอกกล่าวการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice) ให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าก่อนวันจัดประชุม

พร้อมชวนพรีเซนเตอร์สุดอบอุ่น “เจเจ กฤษณภูมิ” ร่วมกิจกรรม ใจกลางสยาม

Create Hong Kong (CreateHK) โดยรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (Hong Kong Special Administrative Region - HKSAR) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เตรียมจัดมหกรรมแฟชั่นสุดล้ำกับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกของ Hong Kong Fashion Design Week (HKFDW) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สำคัญเพื่อตอกย้ำ สถานภาพของฮ่องกง ในฐานะศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแฟชั่น สิ่งทอ และเสื้อผ้าระดับนานาชาติ HKFDW กำหนดจะจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป โดยรวบรวมกิจกรรมการออกแบบแฟชั่นมากมายที่จัดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ของปีเข้ามาไว้ด้วยกัน โดยนำองค์ประกอบที่เป็นนวัตกรรมสร้างสรรค์ และกิจกรรมร่วมต่างๆ ที่น่าตื่นเต้นผสมผสานเข้าไปด้วย

นาย Victor Tsang ผู้อำนวยการ CreateHK วางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายการเข้าถึงของ HKFDW ด้วยการแสวงหาความร่วมมือกับประเทศเป้าหมายในเอเชียโดยมีกรุงเทพฯ เป็นหมุดหมายแห่งแรกของการเยือน  นาย Victor ได้พบปะสนทนาอย่างเข้มข้นกับบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย ซึ่งมีทั้งนักออกแบบที่มีชื่อเสียงและผู้ซื้อที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแฟชั่น เพื่อหารือถึง ความเป็นไปได้ในการร่วมมือกัน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของวงการแฟชั่นไทยในงาน HKFDW ที่กำลังจะจัดขึ้น

ยกระดับ Hong Kong Fashion Design Week

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ HKSAR ประกาศเกี่ยวกับโครงการริเริ่มที่สำคัญนี้ในการแถลงนโยบายของฮ่องกงปี 2023 โดยวางแผนการณ์ไกล ที่จะทำให้อุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่น ของฮ่องกง มีความแข็งแกร่งในเวทีระดับโลก และตอกย้ำสถานภาพ Asia World City ของฮ่องกงในการเป็น "จุดหมายปลายทางหลักของกิจกรรมทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์" การดำเนินงานเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายตามที่ระบุไว้ในงบประมาณปี 2024-2025 รัฐบาลฮ่องกงจึงได้วางแผนจัดงาน “มหกรรมออกแบบแฟชั่นในเอเชียเพื่อนำแบรนด์แฟชั่นฮ่องกงสู่สากล"

กิจกรรมขนาดใหญ่นี้มี CreateHK ทำหน้าที่เป็นแกนนำในการร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่นและเสื้อผ้า ตลอดจนบรรดาผู้นำเทรนด์ในแวดวงแฟชั่น โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริม ให้เกิดระบบนิเวศที่ตื่นตัวสำหรับความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทั้งนี้ CreateHK เคยสร้างผลงานความสำเร็จมา แล้วมากมายในการสนับสนุนกิจกรรมแฟชั่นที่เลื่องลือ เช่น CENTRESTAGE หนึ่งในงานแสดงแฟชั่นและกิจกรรมส่งเสริมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย, Fashion Summit (Hong Kong) โครงการสำคัญในการขับเคลื่อนแฟชั่นที่ยั่งยืนของภูมิภาค และ Fashion Asia Hong Kong ซึ่งรวบรวมนักออกแบบ ผู้นำ และผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมแฟชั่นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานร่วมกัน จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์

HKFDW จะเป็นเวทีที่รวบรวมบุคลากรที่หลากหลายในการออกแบบแฟชั่น ทั้งนักออกแบบทั้งที่มีชื่อเสียงและดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ ผู้ซื้อจากต่างประเทศ และผู้ชื่นชอบแฟชั่น โดยมีโปรแกรมที่เต็มไปด้วยพลวัต ทั้งการแสดงบนเวทีแฟชั่นโชว์ การเสวนาเจาะลึกในอุตสาหกรรม และโอกาสในการสร้างเครือข่าย โครงการ HKFDW จะเป็นเวทีสำหรับการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้นักออก แบบท้องถิ่น ถ่ายทอดมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวทางวัฒนธรรมของตนบนเวทีระดับโลก

จุดบรรจบกันของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกที่ตรึงความสนใจระดับโลก

HKFDW ก้าวข้ามขอบเขตของแฟชั่น มุ่งมั่นที่จะเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยสีสันในการส่งเสริมความร่วมมือ นวัตกรรม และโอกาสทางธุรกิจที่ก้าวล้ำออกไปนอกขอบเขตอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยการเชื่อมโยงผู้มีความสามารถในระดับประเทศกับต่างประเทศ โครงการ HKFDW มุ่งหมายที่จะทำให้ฮ่องกงแข็งแกร่งขึ้นไม่เพียงแต่ในฐานะศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลก แต่ยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศระหว่างตะวันออกกับตะวันตก

HKFDW ต่อยอดสถานภาพพิเศษของฮ่ององในการเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก และบทบาทสำคัญในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative - BRI) โดยเชื่อมโยงตลาดในจีน เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกา และยุโรปเข้าด้วยกันในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งไม่เพียงยกระดับความสำคัญของงาน HKFDW เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำสถานภาพ ของฮ่องกง ในฐานะ ศูนย์กลางแฟชั่นระดับนานาชาติอย่างแท้จริง เป้าหมายในท้ายที่สุดของ HKFDW คือความพยายามที่จะสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างอุตสาหกรรมแฟชั่นในจีนและประเทศต่างๆ ภายใต้โครงการ BRI   เพื่อทำให้ HKFDW ยิ่งใหญ่ระดับโลก

HKFDW มีเป้าหมายที่จะเป็นกิจกรรมสำคัญในการเปิดศักราชใหม่ของแฟชั่นฮ่องกง โดยมีแรงสนับสนุนของภาครัฐที่มุ่งมั่นจะส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และทำให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางแฟชั่น วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวระดับโลก CreateHK พร้อมต้อนรับผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้ชื่นชอบแฟชั่น และบุคคลทั่วไปเข้ามาสัมผัสความมหัศจรรย์ของ HKFDW

X

Right Click

No right click