เพราะความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการต่อจิ๊กซอว์เพียงตัวเดียว หากแต่เกิดจากจิ๊กซอว์นับสิบนับร้อย บางเรื่องที่ต้องอดทนและใช้เวลา อาจต้องต่อจิ๊กซอว์นับพันนับหมื่นชิ้น เพื่อประกอบภาพร่างให้สมบูรณ์แบบ

วันนี้ ผู้ดูแลงานพัฒนานวัตกรรมและการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร "คุณสุรศักดิ์ อัมมวรรธน์" Technology and Digital Platform Director ของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ได้เล่าถึงการดำเนินงานของ SCGP ที่มุ่งเน้นด้านรีไซเคิล เพื่อสร้างมูลค่าตลอดห่วงโซ่อุปทาน ในงาน ASEAN Paper เมื่อเร็ว ๆ นี้

น่าสนใจว่าเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลนอกจากจะช่วยสร้างการแข่งขันทางธุรกิจได้ ยังเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่หนุนหลังให้พันธกิจองค์กรในด้าน ESG กับ Net Zero ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

@เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลกับการดำเนินธุรกิจ

SCGP มีการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาค ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่หลากหลาย ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีการพัฒนานวัตกรรมและการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในด้านต่าง ๆ

ทั้งในด้านการผลิตที่มุ่งเน้น Operational Excellence ทำให้ซัพพลายเชนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำระบบออโตเมชันต่าง ๆ มาใช้เพิ่มผลผลิต SCGP ได้นำเดต้าต่าง ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรเพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์ อาทิ ระบบการติดต่อ การสั่งซื้อ การส่งมอบสินค้า ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลการสั่งซื้อได้ด้วยตัวเอง หลังจากมีการนำเดต้ามาใช้ในองค์กรทั่วถึง พนักงานขายสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าสนใจ และตอบข้อมูลให้ลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น ทำให้ลูกค้าสะดวกขึ้นซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ขณะเดียวกันข้อมูลบนออนไลน์แบบทั่วถึง ทำให้ระบบการทำงานภายในองค์กรไหลลื่น ทำให้สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบ ข้อมูลคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยทำให้ต้นทุนการผลิต ทำให้เกิดการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสม เป็นประโยชน์กับทั้งซัพพลายเชน

“หลักการคือเราต้องการให้ข้อมูลต่าง ๆ เป็น single source of truth แปลว่าทุกคนในซัพพลายเชน เห็นตัวเลขบนข้อมูลเดียวกัน ทำให้ไม่เกิดความซับซ้อน ไม่เป็นช่องว่างในการบริหารจัดการทั้งกระบวนการ ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่งเป็นแค่จุดเริ่มต้น เมื่อเราได้มีการนำมาใช้แล้ว สามารถต่อยอดเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้อีก”

@เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลสู่บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน

จากแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจของ SCGP ตามกรอบแนวคิด ESG ซึ่งมีแผนงานชัดเจนที่จะเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในปี 2025 ที่จะไปสู่เป้าหมายใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลและย่อยสลายได้ 100% และในปี 2050 ประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ SCGP ได้พัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนให้ถึงเป้าหมายความยั่งยืน

การเพิ่มอัตราบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล”

SCGP เดินหน้าสร้างเครือข่ายและความร่วมมือในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด แบ่งเป็นการเพิ่มพันธมิตรรีไซเคิล จาก 8 รายเป็น 22 ราย การเพิ่มเครือข่ายระบบการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล หรือ recycling station เพื่อนำบรรจุภัณฑ์เหลือใช้กลับคืนมาที่โรงงาน ซึ่งมีการเพิ่มจากจำนวน 90 แห่งในปี 2563 เพิ่มเป็น 133 แห่งในปี 2566

SCGP ได้ลงทุนทำให้กระดาษรีไซเคิลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยการลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (Operational Excellence) มีการติดตั้งจุดตรวจวัดประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจ โดยคุณภาพของกระดาษที่ได้กลับมานั้น เพิ่มจากเดิมในอัตรา 80% เป็น 88-92% เทียบกับการประหยัดทรัพยากรได้ 20,000 ตันต่อปี

นอกจากนี้ SCGP ได้ศึกษาและพัฒนานวัตกรรม “เส้นใยนาโนเซลลูโลส” จากวัตถุดิบเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อน้ำไปใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ ซึ่งได้มีการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ต่อยอด Waste ให้เป็นเม็ดพลาสติก”

เมื่อนึกถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล มักจะมีเศษวัสดุอื่น ๆ ปนมาด้วย เช่น เทปกาว หรือฟิล์ม ที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ และจะถูกเผาเพื่อเป็นพลังงาน SCGP จึงพัฒนาคิดต่อยอดจาก waste เหล่านี้ ซึ่งเราเรียกว่า waste of waste ให้มีมูลค่ามากขึ้น ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีนำ waste เหล่านี้มาผลิตเป็นเม็ดพลาสติก และได้ขยายโรงงาน waste of waste แล้วถึง 3 โรงงาน ในประเทศไทย 1 แห่ง และโรงงานในอินโดนีเซียอีก 2 แห่ง

“พอเป็นเม็ดพลาสติก เราสามารถนำไปผสมกับเม็ดพลาสติกใหม่ เพื่อนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคใช้ทั่วไปได้ เช่นกระบะพลาสติกใช้ในการขนส่งสินค้า ถังต่าง ๆ เพื่อต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคสามารถนำกลับมาใช้ได้อีก แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ให้ผลตอบแทนการลงทุน แต่ช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นการใช้ waste อย่างคุ้มค่าจริง ๆ ”

การพัฒนาทั้งหมดนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของการผลิตบรรจุภัณฑ์ ทั้งลดการใช้ทรัพยากรใหม่ เพิ่มการรีไซเคิลทรัพยากรเดิมให้มีประสิทธิภาพ ล้วนช่วยเสริมสร้าง Infinite Recycling ให้เกิดขึ้นได้จริง รวมถึงการนำมาใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย Upcycling ซึ่งตอบโจทย์การดำเนินงานบนฐานของความยั่งยืนอย่างแท้จริง

ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่กับครั้งแรกในประเทศไทย ของงาน LINE Conference Thailand 2023 หรือ #LCT23

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เผยการเติบโตสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคใน สปป.ลาว มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 เดินหน้าปรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการ พร้อมดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย

นายวันชัยระบิน จิตวัฒนาธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานธุรกิจระดับภูมิภาค ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมของธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคจนถึงเดือนสิงหาคม 2566 ของ บริษัท กรุงศรี บริการเช่าสินเชื่อ จำกัด (สปป.ลาว) หรือ Krungsri Leasing Services (Lao PDR) เริ่มเห็นปริมาณความต้องการสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้น โดยมียอดสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นราว 36% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่กรุงศรีได้มีการปรับกลยุทธ์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่ผันผวนและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในสปป.ลาว มากขึ้น โดยมุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่สามารถช่วยเสริมสภาพคล่องและตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินของลูกค้า เพื่อช่วยสนับสนุนลูกค้าให้สามารถเดินหน้าและก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ปัจจุบันไปได้”

ล่าสุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ผลิตภัณฑ์เรือธงอย่างสินเชื่อคาร์ ฟอร์ แคช (Car4Cash) มียอดสินเชื่อรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2563 จนเป็นอันดับหนึ่งด้านการรับรู้ของลูกค้าเมื่อกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งมีจุดเด่นด้านอัตราดอกเบี้ยและวงเงิน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเช่นกัน โดยกรุงศรีได้ส่งต่อความเชี่ยวชาญทั้งในด้านการบริหารทีมขาย การสื่อสาร การวิเคราะห์ และทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งจนถึงเดือนสิงหาคม 12% ของจำนวนสินเชื่อใหม่เป็นการสมัครสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล และยังมีแนวโน้มในการเติบโตผ่านช่องทางนี้ในอัตราที่สูงขึ้นตามแนวโน้มพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสปป.ลาว ของปี 2566 เป็นช่วงฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 มีการปรับตัวที่ดีขึ้นแม้ยังมีความเปราะบาง โดยการลงทุนจากประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ที่ชะลอแผนการลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ได้กลับมาดำเนินการ อาทิเช่น ธุรกิจค้าปลีก และพลังงานสะอาด ขณะที่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปีที่สูงกว่า 40% โดยวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้นในระยะสั้น โดยได้รับแรงหนุนจากภาคบริการ ที่มีการฟื้นตัวหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามการเติบโตของเศรษฐกิจลาวยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด โดยคาดว่าการเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.0% ต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิดอยู่ที่ 6.4%
“ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ กรุงศรียังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยง ควบคู่กับการดูแลคุณภาพของสินทรัพย์ในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด และยึดถือแนวปฏิบัติด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ พิจารณาถึงความสามารถในการชำระคืนของลูกค้าด้วย โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ธุรกิจกรุงศรีในสปป. ลาว มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ในระดับที่ ต่ำกว่า 1% และโดยภาพรวมปีนี้กรุงศรี บริการเช่าสินเชื่อ จำกัด (สปป.ลาว) ทำได้ดี ซึ่งจากนี้ กรุงศรีจะยังคงเดินหน้าสานต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านสินเชื่อเพื่อรายย่อย รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการดำเนินงาน ศักยภาพของบุคลากร รวมไปถึงพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในสปป. ลาว และสามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทาย เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายวันชัยระบิน กล่าวปิดท้าย

Amass me (อะแมส มี) ผู้นำเข้าสินค้าแฟชั่น มัลติ ลักซ์ชัวรี แบรนด์ เจ้าแรกในไทย ปล่อยตัวแบรนด์ Kapalikko (คาปาลิกโก้) คอลเลกชันใหม่ 7 DAYS GOD’S ภายใต้คอนเซปต์ ‘God's Grace collection’ ถ่ายทอดเรื่องราว 7 ทวยเทพกรีก ผสานศาสตร์แห่งความเชื่อเข้ากับโลกแฟชั่น เปิดขายวันแรกหมดเกลี้ยงทั้งออนไลน์ และหน้าช้อปสินค้า

นางสาวยุฤดี ธนะกิตติภูมิ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท อะแมส มี จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา Amass me (อะแมส มี) เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำเข้าสินค้าแฟชั่น มัลติ ลักซ์ชัวรี แบรนด์ที่มีความหลากหลาย กระทั่งได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะในสัดส่วนของเสื้อผ้า Multi Luxury Brands ที่สามารถดันยอดขายได้มากขึ้นถึง 100% จึงทำให้ Amass me (อะแมส มี) มีความมั่นใจและต่อยอดความสำเร็จในก้าวต่อไป โดยการเพิ่มไลน์ผลิตในส่วนของ Amass me Street ขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่เพิ่มมากขึ้นของลูกค้า โดยปล่อยแบรนด์ Kapalikko (คาปาลิกโก้) ออกมาปลุกกระแสแฟชั่นสายมู นอกจากนี้ยังเพิ่มในส่วนของมัลติ ลักซ์ชัวรี แบรนด์ ที่นำเข้ามาจาก ดีไซน์เนอร์ดังต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ TSMLXLT, แบรนด์ Yedcrew, แบรนด์ Empty Referencer เป็นต้น ซึ่งเป็นแบรนด์สัญชาติอเมริกา

สำหรับยอดขายทางการตลาดของ Amass me street มีการเติบโตขึ้นทุกปี เพราะสินค้าที่บริษัทนำเข้าหรือผลิตจะมีความโดดเด่นในการผสมผสานระหว่าง Street และความ Creativity ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เหตุผลที่ Amass me street นำเข้าแบรนด์ต่างๆ เพื่อเจาะกลุ่ม Target ที่กว้างขึ้น จึงทำให้ แบรนด์ Amass me street เติบโตขึ้นทุกปี จนสินค้าทุกคอลเลกชันกลายเป็นสินค้า rare item ในเวลาต่อมา

“Amass me (อะแมส มี) ยังคงมุ่งมั่นในการเป็น มัลติ ลักซ์ชัวรี แบรนด์ ที่รวบรวมแบรนด์นำเข้าที่มีเอกลักษณ์และสไตล์ที่แตกต่างกันออกไปมานำเสนอลูกค้าในเมืองไทย เปรียบเสมือนตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ให้สำหรับทุกคนที่มีเสื้อผ้าหลากหลายแบบ หลากหลายสไตล์รวมกันอยู่ ให้ทุกคนมาเลือกชม ซึ่งไฮไลท์ในซีซั่นนี้ที่ Amass me (อะแมส มี) นำเสนอ คือแบรนด์ Kapalikko (คาปาลิกโก้) บนคอลเลกชันใหม่ 7 DAYS GOD’S ที่เพิ่งเปิดตัวไป เพียงวันแรกก็สามารถทำยอดขายถล่มทลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งในออนไลน์ และช้อปหน้าร้านค้าที่มีลูกค้าเข้าคิวยาวเหยียดเพื่อตั้งตารอจับจองคอลเลกชันใหม่ อาจเนื่องจากความเป็นเสื้อผ้า Street ของ kapalikko บนคอลเลกชันใหม่ที่ผสานศาสตร์แห่งความเชื่อเข้ากับโลกแฟชั่นจึงทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย”  ยุฤดี กล่าว

รู้จักแบรนด์ Kapalikko (คาปาลิกโก้) เป็นแบรนด์สัญชาติไทย จาก Amass me (อะแมส มี) ที่ตั้งใจทำแบรนด์ใหม่ให้เป็นดั่งตัวแทนสะท้อนภาพของการเชื่อมโยงโลกแห่งความเชื่อและโลกแฟชั่นเข้าไว้ด้วยกัน โดยที่มาของแบรนด์ Kapalikko (คาปาลิกโก้) นั้นเริ่มต้นมาจากสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่ใช้ชื่อเดียวกันนี้ เป็นสัญลักษณ์ของมหายันต์ที่นำพาซึ่งความโชคดีมาให้กับผู้ครอบครอง โดยสัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อที่สืบทอดกันมาในแถบยุโรปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังแผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆ จนมีชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการตามแต่ละประเทศไม่ว่าจะเป็น ยันต์ “St John’s Arms” หรือยันต์ “Hannunvaakuna” นอกจากนี้ยันต์ Kapalikko (คาปาลิกโก้) ยังปรากฏอยู่บนปุ่ม Command บนคีย์บอร์ดของ Apple อีกด้วย ซึ่งสัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องรางแห่งการเรียกความโชคดี ทั้งยังช่วยเสริมในเรื่องการเงิน ดึงดูดทรัพย์จากทั้ง 4 ทิศ 8 ทาง เสริมเรื่องการงาน เมตตามหานิยม พร้อมป้องกันจากสิ่งที่เป็นอัปมงคลตามความเชื่อ นับได้ว่าเป็นยันต์ที่เปรียบดั่งแม่เหล็กในการดึงดูดสิ่งมงคลเข้าหาผู้ครอบครอง จากกระแสในความเชื่อดังกล่าวทำให้ทาง Amass me (อะแมส มี) หยิบนำยันต์ความเชื่อนี้มาใส่เข้าไปกับความเป็นแฟชั่นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการกำหนดของราคาอย่างเช่น คอลเลกชันเสื้อผ้าที่ออกมาใหม่ ราคาจะอยู่ที่ราว 3,500 – 6,000 บาท ต่อชุด ซึ่งยังคงเป็นราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ พร้อมกับสามารถสวมใส่รู้สึกโชคดีไปในทุกๆ วัน

นางสาวยุฤดี กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการเสริมโชคและความเชื่อเกี่ยวกับดวงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง นอกจากจะทำให้รู้สึกสบายใจในการดำเนินชีวิต ยังเป็นการช่วยเสริมความมั่นใจกับเหตุการณ์ที่จะต้องพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับในโลกของแฟชั่นที่ไม่ต่างกับการสร้างความมั่นใจด้วยการแต่งตัวด้วยไอเท็มชิ้นที่สวมใส่ เพราะสามารถบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนได้อย่างเด่นชัด ดังนั้นในฤดูกาลนี้ Kapalikko (คาปาลิกโก้) จึงเลือกปล่อยผลงานคอลเลกชัน “7 DAYS GOD’S เสื้อผ้าที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อทุกเพศทุกวัย นำมามิกซ์แอนด์แมตช์เพื่อสร้างสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนผ่านเสื้อผ้าแฟชั่น คอลเลคชัน 7 DAYS GOD’S โดยได้รับแรงบันตาลใจและถ่ายทอดเรื่องราว ทวยเทพ ทั้ง 7 เทพกรีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ และเป็นเทพประจำวันต่างๆ ทั้ง 7 วัน  ที่จะทำให้คุณโชคดีไปในทุกๆ วัน กับ Kapalikko (คาปาลิกโก้) ได้แก่

วันอาทิตย์ (Sunday) : เทพเฮลิออส (อะพอลโล่) เทพผู้ขับรถเคลื่อนดวงอาทิตย์ผ่านฟากฟ้า เป็นเทพแห่งศิลปะวิทยาการและการดนตรี

วันจันทร์ (Monday) : เทพเซลีนี (อาร์เทมิส) เทพีแห่งดวงจันทร์

วันอังคาร (Tuesday) : เทพแอรีส เทพแห่งสงครามและความแข็งแกร่ง

วันพุธ (Wednesday) : เทพเฮอร์มีส เทพแห่งการสื่อสาร การค้า การแพทย์ วิทยาการลึกลับ

วันพฤหัสบดี (Thursday) : เทพซุส ซึ่งเป็นมหาเทพสูงสุดของโอลิมปัส เป็นเทพแห่งสายฟ้า ปกครองพื้นที่ท้องฟ้าทั้งหมด และยังเป็นบิดาของเทพองค์สำคัญอีกหลายองค์ด้วย

วันศุกร์ (Friday) : เทพอะโฟรไดต์ ซึ่งเป็นตัวแทนของความรักและความงามผู้ถือกำเนิดมาจากฟองคลื่นในมหาสมุทร เป็นตัวแทนของความปรารถนา

วันเสาร์ (Saturday) : เทพโครนัสหรือโครนอส เป็นเทพแห่งกาลเวลาและการชราภาพ อีกทั้งยังเป็นไททันที่เป็นบิดาของโดไซดอน ซุส และฮาเดสอีกด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันสินค้ามัลติ ลักซ์ชัวรี แบรนด์ ภายใต้การจำหน่ายของ Amass me (อะแมส มี) นั้นได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่หลากหลายทั้งในกลุ่มไฮเอนด์ ครอบคลุมถึงกลุ่มลูกค้าแมส คนรุ่นใหม่วัยทำงาน ซึ่งบนความตั้งใจของ Amass me (อะแมส มี) คือการสนับสนุนผลักดันการเปิดตัวตนและไลฟ์สไตล์ผ่านแฟชั่นในชีวิตประจำวัน ให้ทุกคนมีความกล้าในการถ่ายทอดอัตลักษณ์ของตนเอง โดย Amass me (อะแมส มี) จะไม่หยุดคัดสรรแบรนด์ที่มีคุณภาพ มีสไตล์ และมีเอกลักษณ์ เพื่อทำให้ตู้เสื้อผ้าใบนี้เป็นตู้เสื้อผ้าใบโปรดและสามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกคนทั้งไทยและทั่วโลกได้ นอกจากนี้ล่าสุด Amass me (อะแมส มี) มีการเปิดแพลตฟอร์มนำส่งสินค้า Kapalikko (คาปาลิกโก้) ขยายออกไปยังแพลตฟอร์มประเทศจีน ญี่ปุ่น และดูไบ เป็นต้น สำหรับเป้าหมายต่อไปคือ บริษัทต้องการผลักดัน Kapalikko (คาปาลิกโก้) ไปสู่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีความเชื่อร่วมกันในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน

ท่านใดที่ชื่นชอบและรักในแฟชั่น พบกันได้ที่ Amass me (อะแมส มี) ซึ่งมีช้อปหน้าร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าแล้ว 9 สาขา ได้แก่ เดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ ชั้น 1, เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา ชั้น 1, เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 1, เซ็นทรัล ชิดลม ชั้น 2 และชั้น 3, เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 1, เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ชั้น 1, เดอะ พรอมานาด ชั้น 1, เทอร์มินอล 21 พระราม 3, ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ชั้น 1 ยุฤดี กล่าวทิ้งท้าย

แม็คโคร ผู้นำธุรกิจค้าส่ง ภายใต้ซีพี แอ็กซ์ตร้า สนับสนุนนวัตกรรมและการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย

พร้อมส่งแคมเปญพิเศษ ต้อนรับการท่องเที่ยวต่างประเทศช่วงปลายปี

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต โดย คุณแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คุณชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่าย พร้อมคณะผู้บริหาร พาสุดยอดตัวแทนที่มีผลงานยอดเยี่ยมกว่า 100 ท่าน ร่วมทริปสุดพิเศษ “Agency South Africa Convention 2023” ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นรางวัลและกำลังใจให้กับสุดยอดตัวแทนของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ที่ทุ่มเทและมุ่งมั่นสร้างผลงานคุณภาพยอดเยี่ยมตลอดปีที่ผ่านมา อีกทั้งบริษัทฯ จะยังคงมุ่งมั่นให้การสนับสนุน และยกระดับให้ฝ่ายขายจนก้าวสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ ตามนโยบายของบริษัทฯ ที่ยึดมั่นการมีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป โดยกิจกรรมดังกล่าวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พร้อมทั้งประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ กับการท่องซาฟารี และเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ ณ ประเทศแอฟริกาใต้

หลังเปิดตัว บริษัท อินชัวร์เวิร์ส บริษัทประกันวินาศภัย ดิจิทัลเต็มรูปแบบ (Pure Digital Insurance) แห่งแรกในประเทศไทยอย่างเป็นอย่างการ นายกิตตินันท์ ภู่พงศ์พันธ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน) และนายพุทธา วิริยะบวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย ไอบี จำกัด  มอบโปรโมชันพิเศษ พ.ร.บ.ออนไลน์ ถูกชัวร์เหมือนซื้อราคาส่ง อุ่นใจชัวร์เครือเดียวกับทิพยประกันภัย ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน
ราคาเริ่มต้นเพียง 499 บาท/ปี ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน - 15 พฤศจิกายน 2566 สะดวกและรวดเร็วด้วยตัวเองเพียงไม่กี่ขั้นตอน ไม่กี่นาที สามารถรับกรมธรรม์ได้ทันที ข้อมูลจะส่งตรงเข้ากรมขนส่งสามารถนำไปต่อภาษีได้เลย

ผู้สนใจสามารถซื้อพ.ร.บ. รถยนต์ราคาพิเศษของ insurverse ได้ตลอด 24 ชม. ผ่าน https://insurverse.co.th/car-insurance/compulsory/ 

สนับสนุนนวัตกรรมทางการแพทย์ในภารกิจสำคัญของหน่วยแพทย์อาสาเคลื่อนที่ มุ่งมั่นสร้างสังคมไทยสุขภาพดี

บีเอ็นวาย เมลลอน ที่ปรึกษาการลงทุนระดับโลกและพันธมิตรของเมย์แบงก์ คาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ที่มีต่อแนวทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางในประเทศยักษ์ใหญ่ซึ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกัน จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเงินเฟ้อ การจ้างงาน การบริโภคภายในประเทศ ตลอดจนคาดการณ์แนวโน้มปัจจัยเสี่ยง สินทรัพย์ และโอกาสการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนได้จับตาดูและเตรียมพร้อมรับมือกับกระแสการลงทุนที่คาดว่าจะกลับมาร้อนแรงขึ้นในหลายประเทศ

  • ทีมวิเคราะห์ของทาง BNY Mellon มองว่า การปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกยังคงมีความแตกต่างกัน จึงอาจเป็นเหตุให้ธนาคารกลางขนาดใหญ่ดำเนินนโยบายต่างกันในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
  • ในสหรัฐอเมริกา BNY Mellon มองอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเริ่มชะลอตัวลง อัตราการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ผสานกับตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ทำให้เกิดมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามนักลงทุนมีแนวโน้มจะประเมินความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานต่ำเกินไป อีกทั้งคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และแสดงจุดยืนด้านนโยบายทางการเงินที่สอดคล้องกันในการประชุม FED เดือนกันยายนนี้
  • ด้านยุโรป ทีมวิเคราะห์ของทาง BNY Mellon มองอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงเช่นกัน แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่แนวโน้มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แผ่วลง ทำให้ยุโรปยังคงเผชิญความท้าทายมากกว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว จึงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปจะใช้นโยบายที่ระมัดระวังมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
  • ในทางตรงกันข้าม ญี่ปุ่นและอังกฤษ อัตราเงินเฟ้อยังไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้ธนาคารกลางของทั้ง
    2 ประเทศ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายทางการเงินที่รัดกุมขึ้น ซึ่งจะทำให้ทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว โดยปัจจุบันญี่ปุ่นยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย คงอัตราดอกเบี้ย
    ติดลบ ในขณะที่ยุโรปปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และมีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในระยะท้ายของ
    วัฎจักร
  • ในส่วนของญี่ปุ่น คาดว่าธนาคารกลาง (BOJ) มีโอกาสผ่อนผันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสูงขึ้น ตามสถานการณ์ตลาด และจะเข้าแทรกควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเมื่อเห็นควร (yield curve control) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อธนาคารในญี่ปุ่นในท้ายที่สุด
  • สำหรับจีน BNY Mellon มองว่าการเติบโตที่ชะลอลงของเศรษฐกิจจีน สินค้าคงคลังที่ยังคงเหลือปริมาณมาก จากพฤติกรรมการการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงของประชากรจีน ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้า ซึ่งภาวะการชะลอทางเศรษฐกิจของจีนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปจีน โดยเราเริ่มเห็นการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในยุโรป ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและได้รับผลกระทบน้อยกว่า

ด้านเมย์แบงก์ ประเทศไทย โดย คุณอภิญญา องค์คุณารักษ์ CFA, CAIA กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายงาน Investment Solutions บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองว่า “การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจทั้งในระยะกลางและระยะยาว เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น สังเกตจากผลประกอบการของบริษัทเอกชนในไตรมาสที่สอง ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับตัวเลขภาคแรงงานที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายเริ่มชะลอความร้อนแรง จึงยังคงมองว่าตลาดหุ้นสามารถรับปัจจัยที่ FED น่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างน้อยอีกหนึ่งครั้ง และจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงไประดับหนึ่งแล้วจึงมี Downside จากประเด็นนี้ หุ้นกลุ่ม Quality Growth ของสหรัฐ ยังมีความน่าสนใจ ที่สามารถเก็บสะสมได้ระยะยาว”

ในส่วนของญี่ปุ่น คุณอภิญญา เปิดเผยว่า “การลงทุนระยะกลาง-ยาว ในหุ้นญี่ปุ่นมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีการปรับมาตรการ Yield Curve Control (YCC) ให้มีความยืดหยุ่น และยังใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ช่วยสนับสนุนให้ค่าเงินเยนยังอ่อนค่าต่อ และการปรับมาตรการ YCC ให้ยืดหยุ่นนี้ อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (JBG yield) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มการเงินโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี รวมถึงผลประกอบการของบริษัทญี่ปุ่นยังคงออกมาดีต่อเนื่อง ประกอบกับการประกาศซื้อหุ้นคืนและการจ่ายปันผลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะช่วยหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ก้าวต่อไปอย่างแข็งแรงอีกด้วย”

X

Right Click

No right click